วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

ยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว

แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว

และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน

และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้น ๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะอาหารไว้ด้วย

โดยผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของเล ือดนี้

ส่วนใหญ่นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ   ก็ยังประสบปั! ญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิตที่มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง
ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อย สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด   ล่าสุดบริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส   ได้จ! ัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป ( GIPAP) ซึ่งเป็นโครงการให้ความ

ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วย มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid  Leu kemia) ที่มีผล ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วย มีอาการในระยะรุนแรงของโรค   หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์
( GIST-Grstro-Intesinal Stromal Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม ( มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)

โดยโคร งการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะ มอบให้ต่อเนื่องจนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทางเลือกของผู้ป่วยไ ด้ต่อไป ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 80 ปร ะเทศทั่วโลก   ที่ได้รับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า 1.8 หมื่นราย โดย
มีผู้ป่วยจากประเทศไทย ประมาณ 800 คนซึ! ่งนับว่ายังน้อยมาก

จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ได้จัด ตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศ ลนานาชาติ

ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้

สำนักงานมูลนิธิแมกซ์ ตั้งอยู ่ที่ซีแอตเติลประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง! ขึ้นในปี 2540 โดย Pedro Rivarola เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย แม็กซิ มิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola) ซึ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัดตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! ( ประเทศไทย) ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระสำหรับผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้

ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
(CML-Chronic Myeloid Leukemia) ? รือ มะเร็งกระเพาะอาห าร ( GIST)
ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
2! . ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลไ! ด้
4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้

และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น

หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
1. แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรี จากแพทย์ผู้รักษา แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบ
สมัครในนามของท่านออนไลน์ไปที่ https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation  < https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation%2f
2. ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร ์โ ทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่านส่งใบสมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้งผลการพิจารณาผลการอน ุมัติให้! ท่าน! ทราบเอง

ส่วนโรงพยาบ าลที่เข้าร่วมในโครงการมี
16 แห่ง คือ
1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
3. ศิริราชพยาบาล
4. โรงพยาบาลจุฬา ลงกรณ์
5. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
6. โรงพยาบาลราชวิถี
7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพร ะเกียรติ
9. โรงพยาบาลตำรว จ
10. โรงพยาบาลภูมิพล
11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร
13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
14. โรงพยาบาลหาดใหญ่
15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
และ
16. โรงพยาบาลสระบุรี

ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยโรคดังกล่าว

สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และบุษกร สนธิกร
หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
หรือจะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx
หรือ https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx

คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น   (คนที่เป็นเบาหวานอยู่ด้วย  ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน  (คนที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย      ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน)

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด  รองลงไปคือ   รับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช้อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

กินอย่างไรถึงเพิ่มคอลลาเจน

น้ำซุป
คนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจน ให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอ
พออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกา
ความ จริงคนเราไม่จำเป็นต้องไปกินคอลลาเจนที่เป็นขวด หรือเป็นเม็ด ซึ่งมีราคาแพงก็ได้ เพราะกินเข้าไปแล้ว ก็โดนน้ำย่อยทำการย่อย หลังจากนั้นก็จะถ่ายออกมากลายเป็นปัสสาวะที่แสนแพง น่าเสียดายเปล่า ๆ
วิธีป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน ง่าย ๆ คือ หลีก เลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่ คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย
สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน
จะ เห็นได้ว่าเวลาต้มขาหมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น นั่นแหละคือคอลลาเจน วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ
ถ้า กลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้ เช่น สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก ถั่วเหลือง แตงกวา ขึ้น ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์
ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถดูดซึมได้ดี แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้า เรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด ถ้ากินเข้าไป 100 อาจจะเหลือแค่ 10
เพราะฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจาก สัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิต
ามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วย
ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่มั้ยคะ สำหรับการเพิ่มคอลลาเจน ด้วยอาหารที่คุณหมอกฤษดา แนะนำ เพียงเท่านี้ริ้วรอย ตีนกา ก็จะมาเยือนท่านช้าลง.


 


การดูแลตับของเราให้ดีีี

สำหรับผู้ห่วงใยในสุขภาพที่ดีของตับในร่างกาย   การพักผ่อนที่เพียงพอและการนอนหลับที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ   ถ้าหากคุณยังมีปัญหาในการนอนหลับ   พิษและของเสียที่อยู่ในร่างกายย่อมจะสะสมและเป็นปัญหาต่อสุขภาพและอารมณ์ของคุณเอง
สาเหตุหลักที่ทำลายตับของคุณคือ

1. การนอนดึกและตื่นสายเป็นสาเหตุลำดับต้น ๆ
2. การไม่ปัสสาวะในตอนเช้า
3. ทานจุเป็นประจำ
4. ไม่รับประทานอาหารเช้า
5. บริโภคยามากเกินไป
6. บริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย  สีผสมอาหาร   วัตถุปรุงแต่ง  และน้ำตาลเทียม
7. บริโภคน้ำมันที่ใช้ทำอาหารซึ่งด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์  ถ้าหากคุณสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันในการทอดอาหารซึ่งรวมถึงการใช้น้ำมันที่ดีที่สุดที่ใช้ทำอาหาร  เช่น 
    น้ำมันมะกอก จงหลีกเลี่ยงการบริโภคของทอด
   เมื่อคุณมีอาการเหน็ดเหนื่อย  อ่อนเพลีย   ยกเว้นถ้าหากร่างกายคุณฟิต
8. บริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงมากเกินไปย่อมสร้างภาระแก่ตับ  ผักควรทานสด ๆ  หรือผ่านการทำให้สุก  เพียง 3-5 ส่วน    ผักที่ผ่านการผัดควรจะบริโภคให้หมดในมื้อเดียว   อย่าเก็บไว้ทาน
    ในมื้ออื่น ๆ  ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง  เช่น ลูกเดือย    ข้าวฟ่าง ฯลฯ  มีประโยชน์ต่อลำไส้  คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบคทีเรีย ชนิดไม่ดีออกจากลำไส้เรา ควรกินอาทิตย์ละครั้ง
     เป็นอย่างน้อย
    พืชผักสีเขียวมีคลอโรฟิว  ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยง    ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี  เซลล์แต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจน
    ไปหล่อเลี้ยง  ก่อนเอาผักมากิน  เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ  อย่าลืมแช่   ผักด้วยน้ำส้มสายชู 45 นาที
         
          เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา  3  ทุ่ม   เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ   ย่อยอาหารให้หมด  ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน 
แถมนอนดึกอีก   รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ยแน่นอน   ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสม   แต่ถ้าต้องนอนดึกเลี่ยงไม่ได้  เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบ  ทำรายงาน  ขนงานมาทำ  หรือติดงาน
อะไรก็ตาม  ควรปฏิบัติดังนี้  :

          1. งดเนื้อสัตว์   เช่น  เนื้อวัว   เนื้อหมู   ไก่  เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก   แต่ถ้าหากเราอยากกินเนื้อสัตว์ก็ควรช่วยลำไส้ย่อย
ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด  ยิ่งเคี้ยวละเอียดก็ยิ่งดี  จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้ 
          2. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ  หรือ  น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง   หรือถ้าไม่มีอะไรเลย  น้ำอุ่นธรรมดา สัก  1 แก้วก็ได้ เหมือนกัน 
          3. เวลานอน  ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น   โดยการห่มผ้าหรือใส่ถุงเท้าด้วยก็จะดี
          4. ที่จริงมื้อดึก  ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น  ผัก  ผลไม้  นม ไข่  เนื้อปลา  จะดีกว่า
          5. ควรเลี่ยงน้ำเย็น  น้ำอัดลม  เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย   ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร  หากดื่มแต่น้ำเย็น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร 
              จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิให้อุ่นเหมาะสมก่อน
   แล้วจึงนำไปใช้   การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร      เพิ่มกรดให้ร่างกาย  แถมมีน้ำตาลที่สะสมตาม
              ร่างกายอีก
  อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ  8 แก้วนะ   น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสียออกจากร่างกาย   อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด
       
          เราจะต้องพยายามปรับวิถีการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะนิสัยการกิน   การปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีและดูแลปัจจัยเรื่องเวลา   เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์และสามารถ
กำจัดสารที่ไม่เป็นประโยชน์ในร่างกายตามตารางเวลาที่ควรจะเป็นเพราะ
  
1. ช่วงเวลากลางคืน  3 ทุ่ม - 5 ทุ่ม  : 
          เป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย  (ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย)   ช่วงเวลานี้ควรจะต้องถูกใช้ไปในการพักผ่อน 
หรือผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรี   ถ้าหากช่วงเวลานี้แม่บ้านยังคงวุ่นอยู่กับงานบ้าน  เช่น  ล้างจาน  หรือดูแลเด็ก  ให้ทำการบ้าน  เป็นต้น   สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลลบต่อร่างกาย
2. ช่วงเวลากลางคืน 5 ทุ่ม - ตี 1  : 
          กระบวนการกำจัดสารพิษในตับและแน่นอน  ควรจะต้องอยู่ในช่วงการนอนหลับสนิท  ในช่วงเช้าระหว่างเวลาตี 1 ถึง ตี 3 นั้น  กระบวนการกำจัดสารพิษในน้ำดี  ก็ควรจะเป็นช่วง
แห่งการนอนหลับสนิทเช่นกัน
3. ช่วงเวลาตี 1 - ตี 3 :          
          การกำจัดสารพิษในปอด  เพราะฉะนั้นอาจจะมีอาการไออย่างรุนแรง  สำหรับผู้ที่มีปัญหาการไอในช่วงเวลาดังกล่าว  ตอนนี้กระบวนการกำจัดสารพิษจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว 
และก็ไม่จำเป็นที่คุณจะใช้ยาแก้ไอ   เพื่อที่จะได้ไม่ไปขัดขวางขั้นตอนการกำจัดสารพิษในร่างกาย          ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด   เนื่องจากถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน   ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี     
4. ช่วงเช้า ตี 5 - 7 โมงเช้า :
          การกำจัดสารพิษในปลายลำไส้ใหญ่  ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำให้พุงและลำไส้ของคุณว่างลง
5. ช่วงเช้า 7 - 9 โมงเช้า :
          การดูดซึมสารอาหารสู่ลำไส้เล็ก  คุณควรจะต้องทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้  อาหารเช้าควรจะก่อนเวลา  6.30 น.  สำหรับผู้ป่วย    อาหารเช้าที่ทานก่อน 7.30 น. นั้นดีต่อผู้ที่ต้องการมีร่างกายสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ    ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์  ควรกินเวลา  7.00 น - 9.00 น.  เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด   ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม  และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร  ผู้ใดที่ไม่ทานอาหารเช้าตลอดเวลา  ควรจะต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสีย   และการทานอาหารเช้าในช่วงสายตั้งแต่ 9 - 10 น.  ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรลงไปในท้องเลย         
          แต่ห้ามกินนมในตอนเช้าแทนข้าวเช้า  เนื่องจากตอนเช้านั้น   กระเพาะจะเป็นกรดสูงมาก   นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม   จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี  กลายเป็นคอลลอยด์  มันไม่ย่อยนะ  ยิ่งถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า  ระวังจะเป็นมะเร็งในไขกระดูก  แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้าหรือตอนบ่ายไปแล้ว  หรือตอนเย็นก็ดื่มได้ตามปกติ  มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนมกับไข่ก็ไม่ว่ากัน

          การนอนดึกตื่นสายนั้นเป็นปัญหาต่อกระบวนการทำลายของเสียในร่างกาย  นอกจากนั้นช่วงเที่ยงคืนถึงตี 4 ก็ยังเป็นเวลาที่ร่างกายผลิตเลือด   เพราะฉะนั้น 

    
"อย่านอนดึกและอย่านอนตื่นสาย"  ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ 


Thitima Doungprasert, Ms.
HPO: Human Resource Planning and Development
IRPC Co.,Ltd (Thailand) 038-611333 ext. 1184
Mobile: +66 81 837 6601


การดูแลถนอมดวงตา

ดวงตาเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งห้า  รับหน้าที่หลักคือทำให้เรามองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว  เราทุกคนมีดวงตาคนละสองดวงสำหรับใช้งานไปตลอดชีวิต  เราคงอยากใช้ดวงตาของเรามองเห็นได้ดีไปให้นานที่สุด  ดังนั้น การถนอมดวงตาเป็นสิ่งสำคัญมากที่ไม่อาจมองข้ามไปได้  คำถามคำตอบต่อไปนี้ จะช่วยเราให้สามารถปฏิบัติตัวได้ดี
• ข้อควรปฏิบัติในการดูแลสุขภาพดวงตา
     1. หมั่นรับการตรวจตาเป็นประจำโดยจักษุแพทย์
        - สำหรับเด็ก ควรพบจักษุแพทย์อย่างน้อยในช่วงอายุ 3-5 ขวบก่อนเข้าโรงเรียน  และหลังจากนั้นเป็นประจำในแต่ละช่วงระดับชั้น  หรือเมื่อมีปัญหาเรื่องมองเห็นไม่ชัดซึ่งอาจเกิดจากปัญหาสายตา
        - สำหรับผู้สูงอายุ เกิน 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจตาปีละ 1 ครั้ง
        - ในกรณีพิเศษที่ต้องได้รับการตรวจตาบ่อยขึ้น ได้แก่ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางกาย เช่น โรคเบาหวาน หรือมีประวัติโรคตาในครอบครัว เช่น ต้อหิน มะเร็งจอประสาทตา เป็นต้น
     2. ควรสวมแว่นกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดดหรือต้องใช้สายตาในที่มีแสงมากเพื่อป้องกันโรคตาบางชนิด (ดูเรื่องการเลือกแว่น)
     3. ควรสวมแว่นป้องกันการกระแทก (protective eye glass) เมื่อต้องทำงานประกอบอาชีพบางชนิด หรือเล่นกีฬาบางอย่าง (ดูเรื่องการเลือกแว่น)
     4. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน (ดูเรื่องอาหารกับดวงตา)
• การเลือกแว่น
         เราควรสวมแว่นไม่ใช่เพื่อความสวยงามอย่างเดียว  แต่เพราะการสวมแว่นที่เหมาะสม  สามารถทำให้เรามีสุขภาพดวงตาที่ดี และยังป้องกันการสูญเสียดวงตาที่เรารักได้อีก แว่นที่ควรสวมมีดังนี้
     1. แว่นกันแดด
     2. แว่นป้องกันดวงตา

 แว่นกันแดด• ทำไมจึงต้องสวมแว่นกันแดด
        ปัจจุบันเป็นที่พิสูจน์แล้วว่า แสงแดดโดยเฉพาะแสงอัลตราไวโอเล็ต (ultraviolet-UV) มีผลต่อดวงตาในระยะยาว จะทำให้เกิดอันตรายกับเนื้อเยื่อชั้นต่างๆของดวงตา ตั้งแต่ชั้นนอกสุดไปจนถึงชั้นในสุด โรคตาที่เกิดจากการทำลายของแสงได้แก่ ต้อลม ต้อเนื้อ กระจกตาเป็นฝ้า ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและมีแสงแดดตลอดทั้งปี  ดังนั้น ควรสวมแว่นกันแดดไว้เมื่อออกจากบ้าน  ไม่เพียงเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่ต้องสวม  แต่ควรสวมแว่นให้เด็กด้วย
    รูปแสดงคลื่นแสงที่มองเห็น (Visible Light) และแสงอัลตราไวโอเล็ต (Ultraviolet light) ที่อันตรายต่อดวงตา

• เคล็ดลับในการเลือกแว่นกันแดด
       - แว่นที่ดีควรกันแสง UV-A และ UV-B อย่างน้อย 99-100 เปอร์เซ็นต์ และกันแสงทั่วไปได้อย่างน้อย 75-90 เปอร์เซ็นต์
       - แว่นชนิด polarizing filter สามารถให้ภาพที่คมชัดขึ้นและป้องกันแสงได้ดี
       - อย่าเลือกแว่นราคาถูก เพราะอาจมีคุณภาพไม่ดี ไม่สามารถกรองแสงได้
       - อย่าเชื่อสติกเกอร์ที่ติดไว้ข้างแว่น หากไม่แน่ใจให้ปรึกษาช่างแว่นที่ไว้ใจได้ ร้านแว่นบางร้านจะมีเครื่องเช็คเปอร์เซ็นต์การกรองแสง UV ซึ่งสามารถขอเช็คซ้ำได้
       - สวมแว่นกันแดดแล้วส่องกระจก หากคุณสามารถมองเห็นดวงตาของคุณเองผ่านเลนส์ แสดงว่า เลนส์อาจไม่เข้มพอที่จะกรองแสงได้
       - หากใช้แว่นสี ควรเลือกสีโทน เทา น้ำตาล หรือเขียว เพื่อให้สามารถมองเห็นสีได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยน อย่าเลือกสีแดง น้ำเงิน เพราะอาจทำให้แสงความยาวคลื่นที่อันตรายสามารถผ่านเข้าสู่ดวงตาได้
       - เช็คคุณภาพของเลนส์โดยถือเลนส์ในระยะห่างเท่าความยาวของแขน มองผ่านเลนส์ไปยังวัตถุไกลออกไปที่เป็นเส้นตรง เช่น กรอบประตู เสา แล้วลองเคลื่อนเลนส์ผ่านเส้นตรงที่เห็น หากมองเห็นเส้นบิดเบี้ยวไปมา แสดงว่าเนื้อเลนส์ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้คุณภาพ
ภาพแสดงชนิดต่างๆของแว่นกันแดด


แว่นป้องกันดวงตา• ทำไมจึงต้องสวมแว่นป้องกันดวงตา
เนื่องจากในแต่ละปี อุบัติเหตุกับดวงตาที่เกิดจาก งานบ้าน การปฏิบัติงานที่ทำงาน หรือจากการกีฬานั้นพบได้มาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร ดังนั้น การสวมแว่นป้องกันดวงตาจึงเป็นสิ่งจำเป็น
• งานชนิดไหนบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ดวงตา
       - งานบ้านเช่น งานไม้ ตอกตะปู การใช้เครื่องตัดหญ้า มีความเสี่ยงที่วัตถุชิ้นเล็กจะกระเด็นด้วยความเร็ว และความแรงเข้ามาในดวงตา
       - งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมี กรด ด่าง
       - งานที่เกี่ยวข้องกับคลื่นแสงอันตราย เช่น งานเชื่อมโลหะ อุตสาหกรรมที่มีการใช้เลเซอร์ หรือรังสีต่างๆ
       - การเล่นกีฬาบางชนิดที่อุปกรณ์ที่เล่นอาจเข้ามาชนดวงตาได้ เช่น เทนนิส สควอช แบดมินตัน กอล์ฟ ฮอคกี้ เบสบอล



ภาพแสดงแว่นป้องกันชนิดต่างๆ
• จะป้องกันได้อย่างไร
       - ระวังจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งมีโอกาสเกิดได้ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้าน ในชีวิตประจำวัน
       - ศึกษามาตรการความปลอดภัยที่มาควบคู่กับอุปกรณ์ทุกชนิด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
       - สวมแว่นป้องกันดวงตาเสมอ
       - สำหรับเด็กเล็กๆ ควรระวังไม่ให้เล่นของเล่นที่มีโอกาสเข้าตาได้ เช่น วัตถุมีคม ปลายไม้ ดินสอ ปืนอัดลม เป็นต้น
• จะใช้แว่นชนิดไหนป้องกัน
          เลนส์ที่มีคุณสมบัติป้องกันการกระแทกได้แก่ เลนส์ชนิดโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate lens) ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้สูง นอกจากนั้นเลนส์ชนิดนี้หากแตกก็จะไม่กระจายเป็นชิ้น เล็กๆที่จะเข้าสู่ดวงตาได้ เลนส์ชนิดนี้ราคาไม่แพง บางครั้งจะทำเป็นเลนส์กันแดดในตัว สามารถถามหาได้ตามร้านแว่นใหญ่ทั่วไป

ตัวอย่างแว่นที่ทำจาก Polycarbonate lens
การบริหารกล้ามเนิ้อตา (Eye Exercises)
การบริหารหรือการออกกำลังกล้ามเนื้อตาจำเป็นสำหรับบุคคลต่อไปนี้เท่านั้น
     1. ไม่สามารถโฟกัสภาพเมื่ออ่านหนังสือ
     2. มองเห็นภาพซ้อน (ในบางกรณี)
     3. ตาเข ไม่ว่าจะเขออกนอกหรือเข้าใน
     4. หลังรับการผ่าตัดดวงตา แพทย์จะใช้เพื่อช่วยคงการมองเห็นหรือช่วยให้ดวงตาตรง ไม่เขออก
     5. มีภาวะตาขี้เกียจ
         การบริหารกล้ามเนื้อดวงตามีหลายวิธี โดยสรุปมักจะประกอบด้วยการบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆที่อยู่รอบดวงตาและทำหน้าที่กลอกดวงตาไปมาโดยการบริหารจะช่วยให้ฝึกให้การเคลื่อนไหวของดวงตา และการรับภาพที่สมองเป็นไปอย่างสัมพันธ์กัน ตัวอย่างการบริหาร เช่น
      - ใช้มือปิดตาข้างหนึ่ง และใช้ตาที่เหลือจ้องมองที่วัตถุที่ต่างๆ ใกล้ ไกล
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
      - เปิดตาสองข้าง มือถือปลายดินสอหรือปากกายืดออกเท่าความยาวช่วงแขน บังคับดวงตาให้จ้องมองที่ปลายปากกาโดยให้เห็นเป็นจุดๆเดียว แล้วค่อยๆเคลื่อนปลายปากกาเข้าใกล้ดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน บังคับให้ดวงตาทั้งสองข้างมองตามมาและให้เห็นเป็นจุดเดียว ไม่ให้เกิดเป็นภาพซ้อนจนใกล้ดวงตามากที่สุด ทำเช่นนี้อย่างน้อย 10-20 ครั้งเป็นประจำทุกวัน เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อในการมองใกล้ และช่วยให้ดวงตาตรงไม่เขออก
อาหารบำรุงดวงตา
สารอาหารที่มีคุณค่ากับสายตา ช่วยป้องกันโรคตาได้ มีดังต่อไปนี้
     1. กลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ป้องกันโรคจอตาเสื่อม โรคต้อกระจก ไม่เพียงเท่านั้น อาจป้องกันโรคอื่นได้อีก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน และโรคมะเร็ง เป็นต้น สารอาหารที่มีปริมาณครบถ้วนเช่นนี้ไม่สามารถรับประทานจากอาหารได้อย่างเดียว จำต้องรับประทานเสริม สารเหล่านี้ได้แก่
      - วิตะมินซี วันละ 500 มิลลิกรัม
      - วิตะมินอี วันละ 400 IU
      - เบตาแคโรทีน วันละ 15 มิลลิกรัม
      - สังกะสี (zinc oxide) วันละ 500 มิลลิกรัม
      - ไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoid)
     2. กรดไขมันชนิด Omega-3 ช่วยรักษาอาการตาแห้ง และโรคหัวใจ หลอดเลือด ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง และป้องกันมะเร็งหลายชนิด เนื่องจากเป็นต้นกำเนิดของกรดไขมันอิสระสองชนิดคือ EPA และ DHA ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สารเหล่านี้ได้จากปลาบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน ซึ่งควรรับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
        นอกจากนั้นเราสามารถบริโภคสาร ALA ซึ่งร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็น EPA และ DHA ได้เอง สาร ALA พบใน น้ำมัน flaxseed ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง เมล็ดวอลนัท เมล็ดฟักทอง
3. สาร lutein และ zeaxanthin เป็นกลุ่มแคโรทีนอยด์ซึ่งทำให้พืชมีสีเหลือง สารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคต้อกระจก และโดยเฉพาะโรคจอตาเสื่อมไม่เพียงป้องกันเท่านั้น แต่สามารถรักษาได้ด้วย
สารเหล่านี้มีมากในผักใบเขียว ควรได้รับ lutein 20 มิลลิกรัมต่อวัน และ zeaxanthin 6-10 20 มิลลิกรัมต่อวัน หรือสามารถรับประทานเป็นเม็ดเสริมได้

15 ประโยชน์สุดแจ่มของ ยาสีฟัน

นอก จากจะทำให้ฟันสะอาดสดใสแล้ว ยาสีฟันยังใช้งานได้อย่างวิเศษกับของอย่างอื่นที่ไม่ใช่ฟันด้วยล่ะ และนี่คือการใช้ยาสีฟันแบบสีขาว (เว้นแต่บอกไว้อย่างอื่น) กับงานต่าง ๆ รอบบ้านและรอบตัวคุณ 
     
   1.   บรรเทาอาการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อยหรือแผลพุพอง ทายาสีฟันลงไปบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยโดยตรง มันจะบรรเทาอาการคันและลดความบวมลงได้ ส่วนแผลพุพองยาสีฟันจะทำให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น โดยควรทาทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

   2.   บรรเทาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก สำหรับแผลเล็กน้อยที่ไม่มีรอยเปิด ยาสีฟันจะให้ความเย็นที่ช่วยบรรเทาอาการได้ โดยต้องทาลงไปทันทีหลังเกิดรอยแผล

  3.   กำจัดสิว อยากให้สิวหายเร็วขึ้นงั้นหรือ ? ลองทายาสีฟันลงบนสิวแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในตอนเช้าสิ สิวจะยุบลงและหายเร็วขึ้น

   4. ทำความสะอาดเล็บ ทั้งเล็บและฟันมีส่วนประกอบของกระดูกเหมือนกัน ยาสีฟัน จึงดีกับเล็บเช่นกันเพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้แปรงและยาสีฟันขัดเล็บเป็นประจำ เพื่อช่วยให้เล็บสะอาดเป็นเงางาม และแข็งแรงขึ้น

   5.   ทำให้ผมอยู่ทรง ยาสีฟันแบบเจลมีส่วนผสมของโพลีเมอร์ที่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบเดียวกับที่เจลแต่งผมส่วนใหญ่ใช้ ฉะนั้น ถ้าคุณมองหาอะไรที่จะสร้างสรรค์ผมซึ่งต้องการความอยู่ตัวแบบสุด ๆ แต่เจลแต่งผมเกิดขาดมือ ลองใช้ยาสีฟันแบบเจลแทนก็ได้

   6.   กำจัดกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียม หัวหอม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนมือ ลองใช้ยาสีฟันถูมือ มันจะช่วยกำจัดกลิ่นพวกนี้ได้

   7. กำจัดรอยเปื้อน รอยเปื้อนที่กำจัดยากบนเสื้อผ้าหรือพรม ยาสีฟันสามารถช่วยได้สำหรับเสื้อผ้า ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนโดยตรงและขยี้เบา ๆ จนกระทั่งรอยเปื้อนหายไป แล้วซักตามปกติ (แต่ควรระวัง ถ้าใช้ยาสีฟันแบบไวเทนนิ่งบนผ้าสีอาจทำให้สีผ้าซีดลงได้) สำหรับรอยเปื้อนบนพรม ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อน ใช้แปรงขัดจนรอยเปื้อนจางลง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
       
   8. ชุบชีวิตรองเท้าเก่า ทำความสะอาดองเท้าวิ่งที่สกปรกมอมแมม แต่ซักน้ำไม่ได้ ด้วยการทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนแล้วขัดเบา ๆ จากนั้น เช็ดให้สะอาด

   9. กำจัดรอยสีเทียนบนผนัง ใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้น ๆ กับยาสีฟันขัดเบา ๆ บนรอยเปื้อน

   10. ทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน ทายาสีฟันลงบนเครื่องประดับเงิน แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นใช้ผ้าสะอาด ๆ เช็ดออกในตอนเช้า ส่วนเครื่องประดับที่เป็นเพชร ก็สามารถใ้แปรงนุ่ม ๆ ยาสีฟันเล็กน้อย และน้ำขัดเบา ๆ ให้แวววาวดังเก่าได้ แต่อย่าใช้กับมุกเพราะจะทำให้เคลือบผิวเสียหายได้

   11. กำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี ได้ผลดีกับรอยขีดข่วนตื้น ๆ และรอยเปื้อนทั่วไปแค่ทายาสีฟันบาง ๆ ลงบนแผ่นซีดี ถูเบา ๆ แล้วเช็ดด้วยน้ำให้สะอาด

   12. ทำความสะอาดคีย์เปียโน น้ำมันบนผิวหนังอาจติดอยู่บนคีย์เปียโน และดึงดูดเอาฝุ่นและความสกปรกมาสะสมไว้ ทำความสะอาดมันด้วยผ้าที่ปราศจากขุยชุบน้ำพอชื้น ๆ แตะยาสีฟันเล็กน้อยจากนั้น เช็ดซ้ำด้วยผ้าสะอาด ๆ อีกผืน

   13. กำจัดกลิ่นขวดนมเด็ก ถ้าขวดนมเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของนมบูด ลองใช้ยาสีฟันทำความสะอาดคราบตกค้างและกำจัดกลิ่น แต่ต้องล้างน้ำสะอาดให้หมดจดจริง ๆ ก่อนใช้

   14. กำจัดรอยไหม้บนหน้าเตารีด ซิลิก้าในยาสีฟันสามารถช่วยกำจัดคราบดำ ๆ ไหม้ ๆ พวกนั้นได้

   15. คืนความใสให้เลนส์ แว่นตาสำหรับว่ายน้ำหรือดำน้ำอาจขุ่นมัวได้เมื่อใช้ไปนาน ๆ   ก่อนจะซื้ออันใหม่ลองทายาสีฟันเล็กน้อย ลงบนกระจกแว่น ถูให้ทั่วแล้วล้างให้สะอาด แต่อย่าขัดแรงเกินไป เนื่องจากส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการขัดสีในยาสีฟันอาจทำให้เลนส์เป็นรอยได้

         




 

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

มีประโยชน์มาก...โปรดอ่านและเผยแพร่แก่ผู้ใกล้ชิดด้วย
เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....
หากใครได้ดูรายการ 'ข้อเท็จจริง..วันนี้' ทางช่องยูบีซี 7
ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง
'ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ '
เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ...
จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น
จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย
เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น
ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย
แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น
เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า
สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว
มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่
มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไป เพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อยหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
การรับประทานไข่ทุกวันๆละอย่างน้อย 2  ฟอง จะช่วยได้มาก
คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น
ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ
คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค
ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง
ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก
จากที่เดินไม่ค่อยได้ก็กลับมาเดินได้
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด
แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ
ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น
คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น
อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้
(หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู)
พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด  
ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว
โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุดก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ
คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี
ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน
แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล....  
การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี
อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย
ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่
คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี
เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน