tag:blogger.com,1999:blog-84035256413654034862024-03-13T20:42:32.067-07:00KON MAHACHAI JAIGRAwirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.comBlogger14125tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-68918433571146217862011-01-02T08:36:00.003-08:002011-01-02T08:36:01.501-08:00ยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว<br />
<br />
และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน<br />
<br />
และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้น ๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะอาหารไว้ด้วย<br />
<br />
โดยผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของเล ือดนี้<br />
<br />
ส่วนใหญ่นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ ก็ยังประสบปั! ญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิตที่มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง<br />
ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อย สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด ล่าสุดบริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส ได้จ! ัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป ( GIPAP) ซึ่งเป็นโครงการให้ความ<br />
<br />
ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วย มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid Leu kemia) ที่มีผล ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วย มีอาการในระยะรุนแรงของโรค หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์<br />
( GIST-Grstro-Intesinal Stromal Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม ( มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)<br />
<br />
โดยโคร งการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะ มอบให้ต่อเนื่องจนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทางเลือกของผู้ป่วยไ ด้ต่อไป ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 80 ปร ะเทศทั่วโลก ที่ได้รับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า 1.8 หมื่นราย โดย<br />
มีผู้ป่วยจากประเทศไทย ประมาณ 800 คนซึ! ่งนับว่ายังน้อยมาก<br />
<br />
จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ<br />
<br />
ทั้งนี้ ได้จัด ตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศ ลนานาชาติ<br />
<br />
ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้<br />
<br />
สำนักงานมูลนิธิแมกซ์ ตั้งอยู ่ที่ซีแอตเติลประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง! ขึ้นในปี 2540 โดย Pedro Rivarola เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย แม็กซิ มิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola) ซึ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัดตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! ( ประเทศไทย) ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระสำหรับผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้<br />
<br />
ต้องมีคุณสมบัติดังนี้<br />
<br />
1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง<br />
(CML-Chronic Myeloid Leukemia) ? รือ มะเร็งกระเพาะอาห าร ( GIST)<br />
ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก<br />
2! . ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย<br />
3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลไ! ด้<br />
4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้<br />
<br />
และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น<br />
<br />
หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้<br />
1. แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรี จากแพทย์ผู้รักษา แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบ<br />
สมัครในนามของท่านออนไลน์ไปที่ <a href="https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation" target="_blank">https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation</a> < <a href="https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation%2f" target="_blank">https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fwww.themaxfoundation%2f</a><br />
2. ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร ์โ ทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา<br />
3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่านส่งใบสมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์<br />
4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน<br />
5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้งผลการพิจารณาผลการอน ุมัติให้! ท่าน! ทราบเอง<br />
<br />
ส่วนโรงพยาบ าลที่เข้าร่วมในโครงการมี<br />
16 แห่ง คือ<br />
1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ<br />
2. โรงพยาบาลรามาธิบดี<br />
3. ศิริราชพยาบาล<br />
4. โรงพยาบาลจุฬา ลงกรณ์<br />
5. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า<br />
6. โรงพยาบาลราชวิถี<br />
7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล<br />
8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพร ะเกียรติ<br />
9. โรงพยาบาลตำรว จ<br />
10. โรงพยาบาลภูมิพล<br />
11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่<br />
12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร<br />
13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์<br />
14. โรงพยาบาลหาดใหญ่<br />
15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี<br />
และ<br />
16. โรงพยาบาลสระบุรี<br />
<br />
ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยโรคดังกล่าว<br />
<br />
สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และบุษกร สนธิกร<br />
หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202<br />
หรือจะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ <a href="https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx" target="_blank">https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx</a><br />
หรือ <a href="https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx" target="_blank">https://ramp.rd.go.th/owa/UrlBlockedError.aspx</a>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-22146826868079292572011-01-02T08:30:00.001-08:002011-01-02T08:30:19.957-08:00คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิตหลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง<br />
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก<br />
<br />
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์<br />
<br />
1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น<br />
<br />
2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง<br />
<br />
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก<br />
<br />
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต<br />
<br />
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น<br />
<br />
6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ<br />
<br />
7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ<br />
<br />
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก<br />
<br />
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น<br />
<br />
10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย<br />
<br />
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว<br />
<br />
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง<br />
<br />
a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น (คนที่เป็นเบาหวานอยู่ด้วย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน (คนที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน)<br />
<br />
b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร<br />
<br />
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือ รับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง<br />
<br />
d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)<br />
<br />
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช้อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง<br />
<br />
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น<br />
<br />
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น<br />
<br />
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป<br />
<br />
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต<br />
<br />
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็งwirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-46988658632483969112011-01-02T08:19:00.000-08:002011-01-02T08:19:40.748-08:00กินอย่างไรถึงเพิ่มคอลลาเจน<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">น้ำซุป</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><b><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt; font-weight: bold;">คนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจน ให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอ</span></span></b></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEx5K6h4cZ7z_jOQltn_4jxGaUdHWEzxEmzoIMx9Zki7VPa-pmpGFPt5E3_A-Ac044qw-YGvLigSCeD2TfoWPuVkrzZx2-xMIVh6GbRZ0rCKI99pGCoc5gU1OkMaYffoYzLdo9yrVyaIo/s1600/image00111111111111111111.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="320" n4="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEx5K6h4cZ7z_jOQltn_4jxGaUdHWEzxEmzoIMx9Zki7VPa-pmpGFPt5E3_A-Ac044qw-YGvLigSCeD2TfoWPuVkrzZx2-xMIVh6GbRZ0rCKI99pGCoc5gU1OkMaYffoYzLdo9yrVyaIo/s320/image00111111111111111111.jpg" width="320" /></a><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">พออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้น</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า <b><span style="font-weight: bold;">คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว</span></b> พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกา</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">ความ จริงคนเราไม่จำเป็นต้องไปกินคอลลาเจนที่เป็นขวด หรือเป็นเม็ด ซึ่งมีราคาแพงก็ได้ เพราะกินเข้าไปแล้ว ก็โดนน้ำย่อยทำการย่อย หลังจากนั้นก็จะถ่ายออกมากลายเป็นปัสสาวะที่แสนแพง น่าเสียดายเปล่า ๆ</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><b><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt; font-weight: bold;">วิธีป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน</span></span></b><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: black;"> ง่าย ๆ คือ หลีก เลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่ คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><b><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt; font-weight: bold;">สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจน</span></span></b><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: black;"> เช่น ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลากระเบน กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">จะ เห็นได้ว่าเวลาต้มขาหมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น นั่นแหละคือคอลลาเจน วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">ถ้า กลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้ เช่น สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก ถั่วเหลือง แตงกวา ขึ้น ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><b><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt; font-weight: bold;">ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถดูดซึมได้ดี</span></span></b><span style="color: black;"><span lang="TH" style="color: black;"> แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้า เรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด ถ้ากินเข้าไป </span>100 <span lang="TH">อาจจะเหลือแค่</span> 10</span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">เพราะฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจาก สัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิต</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">ามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วย</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span lang="TH" style="color: black; font-size: 12pt;">ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่มั้ยคะ สำหรับการเพิ่มคอลลาเจน ด้วยอาหารที่คุณหมอกฤษดา แนะนำ เพียงเท่านี้ริ้วรอย ตีนกา ก็จะมาเยือนท่านช้าลง.</span></span></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="color: black; font-family: Tahoma; font-size: small;"><span style="color: black; font-size: 12pt;"><br />
</span></span> </div><div class="MsoNormal" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-26407892536581040912011-01-02T08:14:00.000-08:002011-01-02T08:14:10.185-08:00การดูแลตับของเราให้ดีีี<span style="font-family: Tahoma;"><span lang="TH">สำหรับผู้ห่วงใยในสุขภาพที่ดีของตับในร่างกาย </span> <span lang="TH"> การพักผ่อนที่เพียงพอและการนอนหลับที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ</span> <span lang="TH">ถ้าหากคุณยังมีปัญหาในการนอนหลับ</span> <span lang="TH">พิษและของเสียที่อยู่ในร่างกายย่อมจะสะสมและเป็นปัญหาต่อสุขภาพและอารมณ์ของคุณเอง </span><br />
<strong><u><span lang="TH" style="background: fuchsia; color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 18pt;">สาเหตุหลักที่ทำลายตับของคุณคือ</span></u></strong></span><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"><br />
1. <span lang="TH">การนอนดึกและตื่นสายเป็นสาเหตุลำดับต้น ๆ</span><br />
2. <span lang="TH">การไม่ปัสสาวะในตอนเช้า</span><br />
3. <span lang="TH">ทานจุเป็นประจำ</span><br />
4. <span lang="TH">ไม่รับประทานอาหารเช้า</span><br />
5. <span lang="TH">บริโภคยามากเกินไป</span><br />
6. <span lang="TH">บริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย</span> <span lang="TH">สีผสมอาหาร </span> <span lang="TH">วัตถุปรุงแต่ง</span> <span lang="TH">และน้ำตาลเทียม</span><br />
7. <span lang="TH">บริโภคน้ำมันที่ใช้ทำอาหารซึ่งด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์</span> <span lang="TH">ถ้าหากคุณสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันในการทอดอาหารซึ่งรวมถึงการใช้น้ำมันที่ดีที่สุดที่ใช้ทำอาหาร</span> <span lang="TH">เช่น</span> <span lang="TH"><br />
น้ำมันมะกอก จงหลีกเลี่ยงการบริโภคของทอด</span> <span lang="TH">เมื่อคุณมีอาการเหน็ดเหนื่อย</span> <span lang="TH">อ่อนเพลีย</span> <span lang="TH">ยกเว้นถ้าหากร่างกายคุณฟิต</span><br />
8. <span lang="TH">บริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงมากเกินไปย่อมสร้างภาระแก่ตับ ผักควรทานสด ๆ</span> <span lang="TH">หรือผ่านการทำให้สุก</span> <span lang="TH">เพียง </span>3-5 <span lang="TH">ส่วน </span> <span lang="TH">ผักที่ผ่านการผัดควรจะบริโภคให้หมดในมื้อเดียว</span> <span lang="TH">อย่าเก็บไว้ทาน</span><br />
<span lang="TH">ในมื้ออื่น ๆ</span> <span lang="TH">ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง</span> <span lang="TH">เช่น ลูกเดือย</span> <span lang="TH">ข้าวฟ่าง ฯลฯ</span> <span lang="TH">มีประโยชน์ต่อลำไส้</span> <span lang="TH">คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบคทีเรีย ชนิดไม่ดีออกจากลำไส้เรา</span> <span lang="TH">ควรกินอาทิตย์ละครั้ง<br />
เป็นอย่างน้อย</span> <span lang="TH">พืชผักสีเขียวมีคลอโรฟิว</span> <span lang="TH">ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยง</span> <span lang="TH">ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี</span> <span lang="TH">เซลล์แต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจน</span><br />
<span lang="TH">ไปหล่อเลี้ยง</span> <span lang="TH">ก่อนเอาผักมากิน</span> <span lang="TH">เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ</span> <span lang="TH">อย่าลืมแช่</span> <span lang="TH">ผักด้วยน้ำส้มสายชู </span>45 <span lang="TH">นาที</span><br />
<br />
<span lang="TH" style="background: yellow;">เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา</span><span style="background: yellow;"> 3 <span lang="TH">ทุ่ม </span> <span lang="TH"> เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ</span> <span lang="TH">ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ</span> <span lang="TH">ย่อยอาหารให้หมด</span> <span lang="TH">ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน</span> <br />
<span lang="TH">แถมนอนดึกอีก</span> <span lang="TH">รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ยแน่นอน</span> <span lang="TH">ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสม</span> <span lang="TH">แต่ถ้าต้องนอนดึกเลี่ยงไม่ได้</span> <span lang="TH">เพราะอ่านหนังสือเตรียมสอบ</span> <span lang="TH">ทำรายงาน</span> <span lang="TH">ขนงานมาทำ</span> <span lang="TH">หรือติดงาน</span><br />
<span lang="TH">อะไรก็ตาม</span> <span lang="TH">ควรปฏิบัติดังนี้</span> :</span><br />
1. <span lang="TH">งดเนื้อสัตว์</span> <span lang="TH">เช่น</span> <span lang="TH">เนื้อวัว</span> <span lang="TH">เนื้อหมู</span> <span lang="TH">ไก่</span> <span lang="TH">เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก</span> <span lang="TH">แต่ถ้าหากเราอยากกินเนื้อสัตว์ก็ควรช่วยลำไส้ย่อย</span><br />
<span lang="TH">ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด</span> <span lang="TH">ยิ่งเคี้ยวละเอียดก็ยิ่งดี</span> <span lang="TH">จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้</span> <br />
2. <span lang="TH">ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ</span> <span lang="TH">หรือ</span> <span lang="TH">น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง</span> <span lang="TH">หรือถ้าไม่มีอะไรเลย</span> <span lang="TH">น้ำอุ่นธรรมดา สัก</span> 1 <span lang="TH">แก้วก็ได้ เหมือนกัน</span> <br />
3. <span lang="TH">เวลานอน</span> <span lang="TH">ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น</span> <span lang="TH">โดยการห่มผ้าหรือใส่ถุงเท้าด้วยก็จะดี</span><br />
4. <span lang="TH">ที่จริงมื้อดึก</span> <span lang="TH">ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น</span> <span lang="TH">ผัก</span> <span lang="TH">ผลไม้</span> <span lang="TH">นม</span> <span lang="TH">ไข่</span> <span lang="TH">เนื้อปลา</span> <span lang="TH">จะดีกว่า</span><br />
5. <span lang="TH">ควรเลี่ยงน้ำเย็น</span> <span lang="TH">น้ำอัดลม</span> <span lang="TH">เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย</span> <span lang="TH">ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร</span> <span lang="TH">หากดื่มแต่น้ำเย็น</span> <span lang="TH">โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร</span> <span lang="TH"><br />
จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิให้อุ่นเหมาะสมก่อน</span> <span lang="TH">แล้วจึงนำไปใช้</span> <span lang="TH">การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร</span> <span lang="TH">เพิ่มกรดให้ร่างกาย</span> <span lang="TH">แถมมีน้ำตาลที่สะสมตาม<br />
ร่างกายอีก</span> <span lang="TH">อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ</span> 8 <span lang="TH">แก้วนะ</span> <span lang="TH">น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสียออกจากร่างกาย</span> <span lang="TH">อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด</span><br />
<br />
<span lang="TH" style="background: yellow;">เราจะต้องพยายามปรับวิถีการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะนิสัยการกิน</span><span style="background: yellow;"> <span lang="TH">การปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีและดูแลปัจจัยเรื่องเวลา</span> <span lang="TH">เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์และสามารถ</span><br />
<span lang="TH">กำจัดสารที่ไม่เป็นประโยชน์ในร่างกายตามตารางเวลาที่ควรจะเป็นเพราะ</span></span> </span><strong><span style="background: white; color: magenta; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">1. <span lang="TH">ช่วงเวลากลางคืน</span> 3 <span lang="TH">ทุ่ม - </span>5 <span lang="TH">ทุ่ม</span> : </span></strong><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"> <br />
<span lang="TH">เป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย</span> (<span lang="TH">ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย)</span> <span lang="TH">ช่วงเวลานี้ควรจะต้องถูกใช้ไปในการพักผ่อน</span> <br />
<span lang="TH">หรือผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรี</span> <span lang="TH">ถ้าหากช่วงเวลานี้แม่บ้านยังคงวุ่นอยู่กับงานบ้าน</span> <span lang="TH">เช่น</span> <span lang="TH">ล้างจาน</span> <span lang="TH">หรือดูแลเด็ก</span> <span lang="TH">ให้ทำการบ้าน</span> <span lang="TH">เป็นต้น</span> <span lang="TH">สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลลบต่อร่างกาย</span></span><strong><span style="color: magenta; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">2. <span lang="TH">ช่วงเวลากลางคืน </span>5 <span lang="TH">ทุ่ม - ตี </span>1 : </span></strong><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"> <br />
<span lang="TH">กระบวนการกำจัดสารพิษในตับและแน่นอน</span> <span lang="TH">ควรจะต้องอยู่ในช่วงการนอนหลับสนิท</span> <span lang="TH">ในช่วงเช้าระหว่างเวลาตี </span>1 <span lang="TH">ถึง ตี </span>3 <span lang="TH">นั้น</span> <span lang="TH">กระบวนการกำจัดสารพิษในน้ำดี</span> <span lang="TH">ก็ควรจะเป็นช่วง</span><br />
<span lang="TH">แห่งการนอนหลับสนิทเช่นกัน</span></span><strong><span style="color: magenta; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">3. <span lang="TH">ช่วงเวลาตี </span>1 - <span lang="TH">ตี </span>3 : </span></strong><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"> <br />
<span lang="TH">การกำจัดสารพิษในปอด</span> <span lang="TH">เพราะฉะนั้นอาจจะมีอาการไออย่างรุนแรง</span> <span lang="TH">สำหรับผู้ที่มีปัญหาการไอในช่วงเวลาดังกล่าว</span> <span lang="TH">ตอนนี้กระบวนการกำจัดสารพิษจะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว</span> <br />
<span lang="TH">และก็ไม่จำเป็นที่คุณจะใช้ยาแก้ไอ</span> <span lang="TH">เพื่อที่จะได้ไม่ไปขัดขวางขั้นตอนการกำจัดสารพิษในร่างกาย</span> <span lang="TH">ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด</span> <span lang="TH">เนื่องจากถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน</span> <span lang="TH">ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี</span> </span><strong><span style="color: magenta; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">4. <span lang="TH">ช่วงเช้า ตี </span>5 - 7 <span lang="TH">โมงเช้า : </span></span></strong><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"><br />
<span lang="TH">การกำจัดสารพิษในปลายลำไส้ใหญ่</span> <span lang="TH">ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำให้พุงและลำไส้ของคุณว่างลง</span></span><strong><span style="color: magenta; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">5. <span lang="TH">ช่วงเช้า </span>7 - 9 <span lang="TH">โมงเช้า : </span></span></strong><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"><br />
<span lang="TH">การดูดซึมสารอาหารสู่ลำไส้เล็ก</span> <span lang="TH">คุณควรจะต้องทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้</span> <span lang="TH">อาหารเช้าควรจะก่อนเวลา</span> 6.30 <span lang="TH">น.</span> <span lang="TH">สำหรับผู้ป่วย</span> <span lang="TH">อาหารเช้าที่ทานก่อน </span>7.30 <span lang="TH">น. นั้นดีต่อผู้ที่ต้องการมีร่างกายสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ</span> <span lang="TH">ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์</span> <span lang="TH">ควรกินเวลา</span> 7.00 <span lang="TH">น - </span>9.00 <span lang="TH">น.</span> <span lang="TH">เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด</span> <span lang="TH">ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม</span> <span lang="TH">และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร</span> <span lang="TH">ผู้ใดที่ไม่ทานอาหารเช้าตลอดเวลา</span> <span lang="TH">ควรจะต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสีย</span> <span lang="TH">และการทานอาหารเช้าในช่วงสายตั้งแต่ </span>9 - 10 <span lang="TH">น.</span> <span lang="TH">ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรลงไปในท้องเลย</span> <br />
<span lang="TH" style="background: fuchsia;">แต่ห้ามกินนมในตอนเช้าแทนข้าวเช้า</span><span style="background: fuchsia;"> <span lang="TH">เนื่องจากตอนเช้านั้น</span> <span lang="TH">กระเพาะจะเป็นกรดสูงมาก</span> <span lang="TH">นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม </span> <span lang="TH"> จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี</span> <span lang="TH">กลายเป็นคอลลอยด์</span> <span lang="TH">มันไม่ย่อยนะ</span> <span lang="TH">ยิ่งถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า</span> <span lang="TH">ระวังจะเป็นมะเร็งในไขกระดูก</span> <span lang="TH">แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้าหรือตอนบ่ายไปแล้ว</span> <span lang="TH">หรือตอนเย็นก็ดื่มได้ตามปกติ</span> <span lang="TH">มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนมกับไข่ก็ไม่ว่ากัน</span></span><br />
<br />
<span lang="TH" style="background: aqua;">การนอนดึกตื่นสายนั้นเป็นปัญหาต่อกระบวนการทำลายของเสียในร่างกาย</span><span style="background: aqua;"> <span lang="TH">นอกจากนั้นช่วงเที่ยงคืนถึงตี </span>4 <span lang="TH">ก็ยังเป็นเวลาที่ร่างกายผลิตเลือด</span> <span lang="TH">เพราะฉะนั้น</span> <br />
<br />
</span></span><strong><span style="background: aqua; color: red; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"> "<span lang="TH">อย่านอนดึกและอย่านอนตื่นสาย"</span> </span></strong><span lang="TH" style="background: aqua; color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;">ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ</span><span style="color: black; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="color: #1f497d;"></span><br />
<div><div><div><div><div><div><div><div class="WordSection1"><div class="MsoNormal"><br />
</div><div><div class="MsoNormal"><br />
</div><div class="MsoNormal"><b><span style="color: #548dd4; font-family: 2005_iannnnnUBC; font-size: 10pt;">Thitima Doungprasert, Ms.</span></b></div><div class="MsoNormal"><b><span style="color: #548dd4; font-family: 2005_iannnnnUBC; font-size: 10pt;">HPO: Human Resource Planning and Development </span></b></div><div class="MsoNormal"><b><span style="color: #548dd4; font-family: 2005_iannnnnUBC; font-size: 10pt;">IRPC Co</span></b><b><span lang="TH" style="color: #548dd4; font-family: "Cordia New", "sans-serif"; font-size: 10pt;">.</span></b><b><span style="color: #548dd4; font-family: 2005_iannnnnUBC; font-size: 10pt;">,Ltd (Thailand) 038-611333 ext. 1184 <br />
Mobile: +66 81 837 6601</span></b></div><div class="MsoNormal"><br />
</div></div><div class="MsoNormal"><br />
</div></div></div></div></div></div></div></div></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-24834337984174205692011-01-02T08:11:00.001-08:002011-01-02T08:11:56.885-08:00การดูแลถนอมดวงตา<span style="font-family: Tahoma;">ดวงตาเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสทั้งห้า รับหน้าที่หลักคือทำให้เรามองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว เราทุกคนมีดวงตาคนละสองดวงสำหรับใช้งานไปตลอดชีวิต เราคงอยากใช้ดวงตาของเรามองเห็นได้ดีไปให้นานที่สุด ดังนั้น การถนอมดวงตาเป็นสิ่งสำคัญมากที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ คำถามคำตอบต่อไปนี้ จะช่วยเราให้สามารถปฏิบัติตัวได้ดี<br />
<strong>• ข้อควรปฏิบัติในการดูแลสุขภาพดวงตา</strong><br />
1. หมั่นรับการตรวจตาเป็นประจำโดยจักษุแพทย์<br />
- สำหรับเด็ก ควรพบจักษุแพทย์อย่างน้อยในช่วงอายุ 3-5 ขวบก่อนเข้าโรงเรียน และหลังจากนั้นเป็นประจำในแต่ละช่วงระดับชั้น หรือเมื่อมีปัญหาเรื่องมองเห็นไม่ชัดซึ่งอาจเกิดจากปัญหาสายตา<br />
- สำหรับผู้สูงอายุ เกิน 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจตาปีละ 1 ครั้ง<br />
- ในกรณีพิเศษที่ต้องได้รับการตรวจตาบ่อยขึ้น ได้แก่ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางกาย เช่น โรคเบาหวาน หรือมีประวัติโรคตาในครอบครัว เช่น ต้อหิน มะเร็งจอประสาทตา เป็นต้น<br />
2. ควรสวมแว่นกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดดหรือต้องใช้สายตาในที่มีแสงมากเพื่อป้องกันโรคตาบางชนิด (ดูเรื่องการเลือกแว่น)<br />
3. ควรสวมแว่นป้องกันการกระแทก (protective eye glass) เมื่อต้องทำงานประกอบอาชีพบางชนิด หรือเล่นกีฬาบางอย่าง (ดูเรื่องการเลือกแว่น)<br />
4. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน (ดูเรื่องอาหารกับดวงตา)<br />
<strong>• การเลือกแว่น</strong><br />
เราควรสวมแว่นไม่ใช่เพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่เพราะการสวมแว่นที่เหมาะสม สามารถทำให้เรามีสุขภาพดวงตาที่ดี และยังป้องกันการสูญเสียดวงตาที่เรารักได้อีก แว่นที่ควรสวมมีดังนี้<br />
1. แว่นกันแดด<br />
2. แว่นป้องกันดวงตา</span><br />
<div><div><div dir="ltr"> <strong><u>แว่นกันแดด</u>• ทำไมจึงต้องสวมแว่นกันแดด</strong><br />
ปัจจุบันเป็นที่พิสูจน์แล้วว่า แสงแดดโดยเฉพาะแสงอัลตราไวโอเล็ต (ultraviolet-UV) มีผลต่อดวงตาในระยะยาว จะทำให้เกิดอันตรายกับเนื้อเยื่อชั้นต่างๆของดวงตา ตั้งแต่ชั้นนอกสุดไปจนถึงชั้นในสุด โรคตาที่เกิดจากการทำลายของแสงได้แก่ ต้อลม ต้อเนื้อ กระจกตาเป็นฝ้า ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและมีแสงแดดตลอดทั้งปี ดังนั้น ควรสวมแว่นกันแดดไว้เมื่อออกจากบ้าน ไม่เพียงเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่ต้องสวม แต่ควรสวมแว่นให้เด็กด้วย<br />
รูปแสดงคลื่นแสงที่มองเห็น (Visible Light) และแสงอัลตราไวโอเล็ต (Ultraviolet light) ที่อันตรายต่อดวงตา<br />
<img src="https://ramp.rd.go.th/owa/8.2.176.2/themes/base/clear.gif" /><br />
<strong>• เคล็ดลับในการเลือกแว่นกันแดด</strong><br />
- แว่นที่ดีควรกันแสง UV-A และ UV-B อย่างน้อย 99-100 เปอร์เซ็นต์ และกันแสงทั่วไปได้อย่างน้อย 75-90 เปอร์เซ็นต์<br />
- แว่นชนิด polarizing filter สามารถให้ภาพที่คมชัดขึ้นและป้องกันแสงได้ดี<br />
- อย่าเลือกแว่นราคาถูก เพราะอาจมีคุณภาพไม่ดี ไม่สามารถกรองแสงได้<br />
- อย่าเชื่อสติกเกอร์ที่ติดไว้ข้างแว่น หากไม่แน่ใจให้ปรึกษาช่างแว่นที่ไว้ใจได้ ร้านแว่นบางร้านจะมีเครื่องเช็คเปอร์เซ็นต์การกรองแสง UV ซึ่งสามารถขอเช็คซ้ำได้<br />
- สวมแว่นกันแดดแล้วส่องกระจก หากคุณสามารถมองเห็นดวงตาของคุณเองผ่านเลนส์ แสดงว่า เลนส์อาจไม่เข้มพอที่จะกรองแสงได้<br />
- หากใช้แว่นสี ควรเลือกสีโทน เทา น้ำตาล หรือเขียว เพื่อให้สามารถมองเห็นสีได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยน อย่าเลือกสีแดง น้ำเงิน เพราะอาจทำให้แสงความยาวคลื่นที่อันตรายสามารถผ่านเข้าสู่ดวงตาได้<br />
- เช็คคุณภาพของเลนส์โดยถือเลนส์ในระยะห่างเท่าความยาวของแขน มองผ่านเลนส์ไปยังวัตถุไกลออกไปที่เป็นเส้นตรง เช่น กรอบประตู เสา แล้วลองเคลื่อนเลนส์ผ่านเส้นตรงที่เห็น หากมองเห็นเส้นบิดเบี้ยวไปมา แสดงว่าเนื้อเลนส์ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้คุณภาพ<br />
<strong><u>ภาพแสดงชนิดต่างๆของแว่นกันแดด</u></strong><br />
<br />
<img src="https://ramp.rd.go.th/owa/8.2.176.2/themes/base/clear.gif" /><br />
<u><strong>แว่นป้องกันดวงตา</strong></u><strong>• ทำไมจึงต้องสวมแว่นป้องกันดวงตา</strong><br />
เนื่องจากในแต่ละปี อุบัติเหตุกับดวงตาที่เกิดจาก งานบ้าน การปฏิบัติงานที่ทำงาน หรือจากการกีฬานั้นพบได้มาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร ดังนั้น การสวมแว่นป้องกันดวงตาจึงเป็นสิ่งจำเป็น<br />
<strong>• งานชนิดไหนบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ดวงตา</strong><br />
- งานบ้านเช่น งานไม้ ตอกตะปู การใช้เครื่องตัดหญ้า มีความเสี่ยงที่วัตถุชิ้นเล็กจะกระเด็นด้วยความเร็ว และความแรงเข้ามาในดวงตา<br />
- งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมี กรด ด่าง <br />
- งานที่เกี่ยวข้องกับคลื่นแสงอันตราย เช่น งานเชื่อมโลหะ อุตสาหกรรมที่มีการใช้เลเซอร์ หรือรังสีต่างๆ<br />
- การเล่นกีฬาบางชนิดที่อุปกรณ์ที่เล่นอาจเข้ามาชนดวงตาได้ เช่น เทนนิส สควอช แบดมินตัน กอล์ฟ ฮอคกี้ เบสบอล<br />
<br />
<img src="https://ramp.rd.go.th/owa/8.2.176.2/themes/base/clear.gif" /><br />
<br />
ภาพแสดงแว่นป้องกันชนิดต่างๆ<br />
<strong>• จะป้องกันได้อย่างไร</strong><br />
- ระวังจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งมีโอกาสเกิดได้ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้าน ในชีวิตประจำวัน<br />
- ศึกษามาตรการความปลอดภัยที่มาควบคู่กับอุปกรณ์ทุกชนิด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด<br />
- สวมแว่นป้องกันดวงตาเสมอ<br />
- สำหรับเด็กเล็กๆ ควรระวังไม่ให้เล่นของเล่นที่มีโอกาสเข้าตาได้ เช่น วัตถุมีคม ปลายไม้ ดินสอ ปืนอัดลม เป็นต้น<br />
<strong>• จะใช้แว่นชนิดไหนป้องกัน</strong><br />
เลนส์ที่มีคุณสมบัติป้องกันการกระแทกได้แก่ เลนส์ชนิดโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate lens) ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้สูง นอกจากนั้นเลนส์ชนิดนี้หากแตกก็จะไม่กระจายเป็นชิ้น เล็กๆที่จะเข้าสู่ดวงตาได้ เลนส์ชนิดนี้ราคาไม่แพง บางครั้งจะทำเป็นเลนส์กันแดดในตัว สามารถถามหาได้ตามร้านแว่นใหญ่ทั่วไป <br />
<img src="https://ramp.rd.go.th/owa/8.2.176.2/themes/base/clear.gif" /><br />
ตัวอย่างแว่นที่ทำจาก Polycarbonate lens<br />
<strong><u>การบริหารกล้ามเนิ้อตา (Eye Exercises)</u></strong><br />
การบริหารหรือการออกกำลังกล้ามเนื้อตาจำเป็นสำหรับบุคคลต่อไปนี้เท่านั้น<br />
1. ไม่สามารถโฟกัสภาพเมื่ออ่านหนังสือ<br />
2. มองเห็นภาพซ้อน (ในบางกรณี)<br />
3. ตาเข ไม่ว่าจะเขออกนอกหรือเข้าใน<br />
4. หลังรับการผ่าตัดดวงตา แพทย์จะใช้เพื่อช่วยคงการมองเห็นหรือช่วยให้ดวงตาตรง ไม่เขออก<br />
5. มีภาวะตาขี้เกียจ<br />
การบริหารกล้ามเนื้อดวงตามีหลายวิธี โดยสรุปมักจะประกอบด้วยการบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆที่อยู่รอบดวงตาและทำหน้าที่กลอกดวงตาไปมาโดยการบริหารจะช่วยให้ฝึกให้การเคลื่อนไหวของดวงตา และการรับภาพที่สมองเป็นไปอย่างสัมพันธ์กัน ตัวอย่างการบริหาร เช่น<br />
- ใช้มือปิดตาข้างหนึ่ง และใช้ตาที่เหลือจ้องมองที่วัตถุที่ต่างๆ ใกล้ ไกล<br />
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ<br />
- เปิดตาสองข้าง มือถือปลายดินสอหรือปากกายืดออกเท่าความยาวช่วงแขน บังคับดวงตาให้จ้องมองที่ปลายปากกาโดยให้เห็นเป็นจุดๆเดียว แล้วค่อยๆเคลื่อนปลายปากกาเข้าใกล้ดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน บังคับให้ดวงตาทั้งสองข้างมองตามมาและให้เห็นเป็นจุดเดียว ไม่ให้เกิดเป็นภาพซ้อนจนใกล้ดวงตามากที่สุด ทำเช่นนี้อย่างน้อย 10-20 ครั้งเป็นประจำทุกวัน เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อในการมองใกล้ และช่วยให้ดวงตาตรงไม่เขออก<br />
<u><strong>อาหารบำรุงดวงตา</strong></u><br />
สารอาหารที่มีคุณค่ากับสายตา ช่วยป้องกันโรคตาได้ มีดังต่อไปนี้<br />
1. กลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ป้องกันโรคจอตาเสื่อม โรคต้อกระจก ไม่เพียงเท่านั้น อาจป้องกันโรคอื่นได้อีก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน และโรคมะเร็ง เป็นต้น สารอาหารที่มีปริมาณครบถ้วนเช่นนี้ไม่สามารถรับประทานจากอาหารได้อย่างเดียว จำต้องรับประทานเสริม สารเหล่านี้ได้แก่<br />
- วิตะมินซี วันละ 500 มิลลิกรัม<br />
- วิตะมินอี วันละ 400 IU <br />
- เบตาแคโรทีน วันละ 15 มิลลิกรัม<br />
- สังกะสี (zinc oxide) วันละ 500 มิลลิกรัม <br />
- ไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoid)<br />
2. กรดไขมันชนิด Omega-3 ช่วยรักษาอาการตาแห้ง และโรคหัวใจ หลอดเลือด ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง และป้องกันมะเร็งหลายชนิด เนื่องจากเป็นต้นกำเนิดของกรดไขมันอิสระสองชนิดคือ EPA และ DHA ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สารเหล่านี้ได้จากปลาบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน ซึ่งควรรับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง<br />
นอกจากนั้นเราสามารถบริโภคสาร ALA ซึ่งร่างกายจะสามารถเปลี่ยนไปเป็น EPA และ DHA ได้เอง สาร ALA พบใน น้ำมัน flaxseed ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง เมล็ดวอลนัท เมล็ดฟักทอง<br />
3. สาร lutein และ zeaxanthin เป็นกลุ่มแคโรทีนอยด์ซึ่งทำให้พืชมีสีเหลือง สารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคต้อกระจก และโดยเฉพาะโรคจอตาเสื่อมไม่เพียงป้องกันเท่านั้น แต่สามารถรักษาได้ด้วย <br />
สารเหล่านี้มีมากในผักใบเขียว ควรได้รับ lutein 20 มิลลิกรัมต่อวัน และ zeaxanthin 6-10 20 มิลลิกรัมต่อวัน หรือสามารถรับประทานเป็นเม็ดเสริมได้</div></div></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-77841476718284692442011-01-02T07:57:00.001-08:002011-01-02T08:08:35.821-08:0015 ประโยชน์สุดแจ่มของ ยาสีฟัน<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><em style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><span lang="TH" style="color: navy;">นอก จากจะทำให้ฟันสะอาดสดใสแล้ว ยาสีฟันยังใช้งานได้อย่างวิเศษกับของอย่างอื่นที่ไม่ใช่ฟันด้วยล่ะ และนี่คือการใช้ยาสีฟันแบบสีขาว (เว้นแต่บอกไว้อย่างอื่น) กับงานต่าง ๆ รอบบ้านและรอบตัวคุณ </span><br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">1. </span></b> <b><span lang="TH" style="font-weight: bold;">บรรเทาอาการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อยหรือแผลพุพอง </span></b><span lang="TH">ทายาสีฟันลงไปบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยโดยตรง มันจะบรรเทาอาการคันและลดความบวมลงได้ ส่วนแผลพุพองยาสีฟันจะทำให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น โดยควรทาทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">2. </span></b> <b><span lang="TH" style="font-weight: bold;">บรรเทาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก </span></b><span lang="TH">สำหรับแผลเล็กน้อยที่ไม่มีรอยเปิด ยาสีฟันจะให้ความเย็นที่ช่วยบรรเทาอาการได้ โดยต้องทาลงไปทันทีหลังเกิดรอยแผล</span><br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">3. </span></b> <b><span lang="TH" style="font-weight: bold;">กำจัดสิว </span></b><span lang="TH">อยากให้สิวหายเร็วขึ้นงั้นหรือ </span>? <span lang="TH">ลองทายาสีฟันลงบนสิวแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในตอนเช้าสิ สิวจะยุบลงและหายเร็วขึ้น</span><br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">4. <span lang="TH">ทำความสะอาดเล็บ </span></span></b><span lang="TH">ทั้งเล็บและฟันมีส่วนประกอบของกระดูกเหมือนกัน ยาสีฟัน จึงดีกับเล็บเช่นกันเพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้แปรงและยาสีฟันขัดเล็บเป็นประจำ เพื่อช่วยให้เล็บสะอาดเป็นเงางาม และแข็งแรงขึ้น</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">5. </span></b> <b><span lang="TH" style="font-weight: bold;">ทำให้ผมอยู่ทรง </span></b><span lang="TH">ยาสีฟันแบบเจลมีส่วนผสมของโพลีเมอร์ที่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนผสมแบบเดียวกับที่เจลแต่งผมส่วนใหญ่ใช้ ฉะนั้น ถ้าคุณมองหาอะไรที่จะสร้างสรรค์ผมซึ่งต้องการความอยู่ตัวแบบสุด ๆ แต่เจลแต่งผมเกิดขาดมือ ลองใช้ยาสีฟันแบบเจลแทนก็ได้</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">6. </span></b> <b><span lang="TH" style="font-weight: bold;">กำจัดกลิ่นเหม็น </span></b><span lang="TH">ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียม หัวหอม ปลา หรืออาหารกลิ่นแรงอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนมือ ลองใช้ยาสีฟันถูมือ มันจะช่วยกำจัดกลิ่นพวกนี้ได้</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">7. <span lang="TH">กำจัดรอยเปื้อน </span></span></b><span lang="TH">รอยเปื้อนที่กำจัดยากบนเสื้อผ้าหรือพรม ยาสีฟันสามารถช่วยได้สำหรับเสื้อผ้า ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนโดยตรงและขยี้เบา ๆ จนกระทั่งรอยเปื้อนหายไป แล้วซักตามปกติ (แต่ควรระวัง ถ้าใช้ยาสีฟันแบบไวเทนนิ่งบนผ้าสีอาจทำให้สีผ้าซีดลงได้) สำหรับรอยเปื้อนบนพรม ทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อน ใช้แปรงขัดจนรอยเปื้อนจางลง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">8. <span lang="TH">ชุบชีวิตรองเท้าเก่า </span></span></b><span lang="TH">ทำความสะอาดองเท้าวิ่งที่สกปรกมอมแมม แต่ซักน้ำไม่ได้ ด้วยการทายาสีฟันลงบนรอยเปื้อนแล้วขัดเบา ๆ จากนั้น เช็ดให้สะอาด</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">9. <span lang="TH">กำจัดรอยสีเทียนบนผนัง </span></span></b><span lang="TH">ใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้น ๆ กับยาสีฟันขัดเบา ๆ บนรอยเปื้อน</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">10. <span lang="TH">ทำความสะอาดเครื่องประดับเงิน </span></span></b><span lang="TH">ทายาสีฟันลงบนเครื่องประดับเงิน แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นใช้ผ้าสะอาด ๆ เช็ดออกในตอนเช้า ส่วนเครื่องประดับที่เป็นเพชร ก็สามารถใ้แปรงนุ่ม ๆ ยาสีฟันเล็กน้อย และน้ำขัดเบา ๆ ให้แวววาวดังเก่าได้ แต่อย่าใช้กับมุกเพราะจะทำให้เคลือบผิวเสียหายได้</span><br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">11. <span lang="TH">กำจัดรอยขีดข่วนบนซีดี </span></span></b><span lang="TH">ได้ผลดีกับรอยขีดข่วนตื้น ๆ และรอยเปื้อนทั่วไปแค่ทายาสีฟันบาง ๆ ลงบนแผ่นซีดี ถูเบา ๆ แล้วเช็ดด้วยน้ำให้สะอาด</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">12. <span lang="TH">ทำความสะอาดคีย์เปียโน </span></span></b><span lang="TH">น้ำมันบนผิวหนังอาจติดอยู่บนคีย์เปียโน และดึงดูดเอาฝุ่นและความสกปรกมาสะสมไว้ ทำความสะอาดมันด้วยผ้าที่ปราศจากขุยชุบน้ำพอชื้น ๆ แตะยาสีฟันเล็กน้อยจากนั้น เช็ดซ้ำด้วยผ้าสะอาด ๆ อีกผืน</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">13. <span lang="TH">กำจัดกลิ่นขวดนมเด็ก </span></span></b><span lang="TH">ถ้าขวดนมเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของนมบูด ลองใช้ยาสีฟันทำความสะอาดคราบตกค้างและกำจัดกลิ่น แต่ต้องล้างน้ำสะอาดให้หมดจดจริง ๆ ก่อนใช้</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">14. <span lang="TH">กำจัดรอยไหม้บนหน้าเตารีด </span></span></b><span lang="TH">ซิลิก้าในยาสีฟันสามารถช่วยกำจัดคราบดำ ๆ ไหม้ ๆ พวกนั้นได้</span> <br />
<br />
<b><span style="font-weight: bold;">15. <span lang="TH">คืนความใสให้เลนส์ </span></span></b><span lang="TH">แว่นตาสำหรับว่ายน้ำหรือดำน้ำอาจขุ่นมัวได้เมื่อใช้ไปนาน ๆ</span> <span lang="TH">ก่อนจะซื้ออันใหม่ลองทายาสีฟันเล็กน้อย ลงบนกระจกแว่น ถูให้ทั่วแล้วล้างให้สะอาด แต่อย่าขัดแรงเกินไป เนื่องจากส่วนผสมที่มีฤทธิ์ในการขัดสีในยาสีฟันอาจทำให้เลนส์เป็นรอยได้</span> <br />
<br />
</em><u><span style="color: blue;"><span style="color: blue;"><br />
</span></span></u></div><br />
<div style="margin-bottom: 12pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: small;"><span style="font-size: 12pt; font-style: italic;"><br />
</span></span></div><div style="margin-bottom: 12pt;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAuRJcY3mfbJf1XKcJvW96OR9PaWGogVz6WS9wHGp5Uvn-FYZo5Tnh9pCOX2ZjFP80HO26cICF3zc7jkLy0eKyzHws9AZV5wyLfBTcKQp5KH8PAtGtBqivRVew8-BWyEOGvQQFLAUb2Sg/s1600/ATT0000100000000000.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="255" n4="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAuRJcY3mfbJf1XKcJvW96OR9PaWGogVz6WS9wHGp5Uvn-FYZo5Tnh9pCOX2ZjFP80HO26cICF3zc7jkLy0eKyzHws9AZV5wyLfBTcKQp5KH8PAtGtBqivRVew8-BWyEOGvQQFLAUb2Sg/s320/ATT0000100000000000.jpg" width="320" /></a></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><span style="font-family: Times New Roman; font-size: x-small;"><span style="font-family: "Times New Roman"; font-size: 10pt;"><br />
</span></span></div></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-42788245179124689042011-01-02T07:56:00.001-08:002011-01-02T07:56:22.701-08:00ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่<span style="font-family: CordiaUPC;">มีประโยชน์มาก...โปรดอ่านและเผยแพร่แก่ผู้ใกล้ชิดด้วย <br />
เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ.... <br />
หากใครได้ดูรายการ 'ข้อเท็จจริง..วันนี้' ทางช่องยูบีซี 7 <br />
ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง <br />
'ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่ '<br />
เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... <br />
จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น <br />
จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด <br />
ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย <br />
เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น <br />
ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย <br />
แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด <br />
การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น <br />
เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า <br />
สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว <br />
มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ <br />
มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไป เพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด <br />
เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อยหรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ <br />
การรับประทานไข่ทุกวันๆละอย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก <br />
คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น <br />
ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ <br />
คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค <br />
ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง <br />
ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก <br />
จากที่เดินไม่ค่อยได้ก็กลับมาเดินได้ <br />
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท <br />
ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด <br />
แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ <br />
ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น <br />
คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น <br />
อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ <br />
(หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) <br />
พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด <br />
ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว <br />
โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุดก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ <br />
คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี <br />
ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน <br />
แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... <br />
การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี <br />
อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย <br />
ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ <br />
คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี <br />
เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ <br />
ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน</span><span style="font-size: small;"> </span>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-87153297834384030322011-01-02T07:54:00.001-08:002011-01-02T07:54:52.001-08:00สุข-สำเร็จ 7 ย<div id="divRpF344061" style="direction: ltr;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">ที่โรงพยาบาลกำแพงแสน เขามีหนังสือดีๆ ให้อ่าน หลายเล่ม</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;"></span></span></div><div><div><div><div class="Section1"><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">มาสะดุดใจเล่มนี้มาก ๆ เขียนโดยพระมหาประดิษฐ์ จิตตสวโร ท่านนำธรรมะมาเทศน์สอนได้อย่างสนุกสนาน</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;">ไม่น่าเบื่อ และที่สำคัญสามารถเข้าใจได้ง่ายด้วย ครั้งนี้ เมื่อเราได้อ่านเสร็จ จึงนำ เคล็ด(ไม่)ลับ</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="color: red; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: red; font-family: "Angsana New"; font-size: 24pt; font-weight: bold;">สุข - สำเร็จ 7 ย.</span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;"> มาฝากเพื่อนๆๆ และ ทุกๆท่าน ด้วยค่ะ</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;">ย.1 ยิ้มแย้ม</span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">การยิ้มแย้มเป็นการทำใจให้สบาย มองโลกในแง่ดี มองโลกให้สดใส ยิ้มได้แม้ภัยมา รอยยิ้ม นั้นมีค่า </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">แม้มีเงินมากมาย สามารถซื้อสิ่งของต่างๆ ได้ดังปราถนาแต่ไม่อาจซื้อรอยยิ้มที่อ่อนโยน และมาจากใจได้ จะเห็นได้ว่า</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มักมีแต่คนรัก อยากพูดคุย อยากคบหา อยากรู้จัก แล้วโอกาสที่ดีก็จะตามมา</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;">ย.2 ยกย่อง</span></span></b><b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;"> </span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คำพูดเป็นสิ่งที่สำคัญให้คิดทุกคำที่พูด แต่ไม่จำเป็นต้องพูดทุกคำที่คิด ในพระพุทธศาสนามีมงคลชีวิต </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">ข้อที่ 10 ในมงคลชีวิต 38 ประการ คือ การพูด วาจาสุภาพ อ่อนโยน ยกย่อง ชมเชย ให้เกียรติกัน ละเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">พูดส่อเสียด การที่เราพูดดีจะทำให้มีคนรัก นิยมชมเชย</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt; font-weight: bold;">ย.3 ยืดหยุ่น</span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คนเราบางครั้งต้องรู้จักยืดหยุ่นออมชอม ประนีประนอม การยืดหยุ่นไม่ใช่การยอมแพ้เป็นการเห็นใจกัน</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> ผ่อนสั้นผ่อนยาว ถ้ารู้จักยืดหยุ่นเรื่องก็จะไม่ยืดเยื้อ ไม่เบียดเบียนกัน แม้มีการกระทบกระทั่งกันบ้างแต่เราก็รู้จักให้อภัยกัน</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;">ย.4 ยืนหยัด</span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้จะต้องยืนหยัดในความเพียรพยายามแม้จะมีปัญหาเข้ามา </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">สักเพียงใด หากเราไม่ท้อแท้และท้อถอยเราย่อมจะสามารถ แก้ไขปัญหาและไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt; font-weight: bold;">ย.5 หยิบยื่น</span></span></b><b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 20pt; font-weight: bold;"> </span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คือ การให้ไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของเท่านั้น อาจให้กำลังใจ ให้คำแนะนำก็ได้ หากสังคมใดมีการหยิบยื่น</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">ความเอื้ออาทร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกื้อกูล มอบกำลังใจให้แก่กันสังคมนั้นย่อมจะมีแต่ความสงบสุข และความชุ่มชื่นหัวใจ</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;">ย.6 ยับยั้ง</span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">มีสติรู้จักยับยั้งไม่วู่วามไม่โกรธง่ายไตร่ตรอง ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวตลอด</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">เวลา ข่มอารมณ์ที่ไม่ดี เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์กำหนัด เมื่อมีสติสัมปชัญญะแล้ว ให้วางใจเป็นลาง ไม่ดีใจหรือเสียใจ</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">มากเกินไป คือ ไม่หวั่นไหวในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin-bottom: 0pt; margin-left: 22.5pt; margin-right: 0cm; text-indent: 13.5pt;"><b><span style="color: magenta; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: magenta; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;">ย.7 ยินยอม</span></span></b><b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt; font-weight: bold;"> </span></span></b><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 16pt;"> </span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">เรามักชอบคิดว่าเราถูกเสมอไม่ยอมรับผิดง่ายๆ การทะเลาะวิวาทก็เป็นผลมาจากการไม่รู้จักยอมกัน</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"> เช่น การแข่งขันกีฬา แม้การแข่งขัน จะจบสิ้นแล้วมีทีมที่แพ้ แต่คนไม่ยอมแพ้ ก็จะเกิดปัญหากลายเป็นความรุนแรง</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">คนส่วนใหญ่ มักชอบจับผิดผู้อื่น เอาการกระทำของผู้อื่นมาเป็นธุระเป็นอารมณ์ แต่ไม่ดูความผิดของตนเองหากเราหมั่น</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span lang="TH" style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">สำรวจจิตใจอยู่เสมอ ยอมรับความจริงในการกระทำของตนเองแล้วปรับปรุงแก้ไข สังคมก็จะไม่วุ่นวาย</span></span><span style="color: navy; font-family: Angsana New; font-size: large;"><span style="color: navy; font-family: "Angsana New"; font-size: 18pt;">….</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt;"> ขอเพียงก้าวไปอย่างมีสติ นุ่มนวล อ่อนโยน และมั่นคง เป้าหมาย คือ ความสุข และความสำเร็จ</span></span><span style="color: blue; font-family: Angsana New; font-size: x-large;"><span style="color: blue; font-family: "Angsana New"; font-size: 22pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div></div></div></div></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-49688130299155888172011-01-02T07:53:00.000-08:002011-01-02T07:53:03.144-08:00รักษาเบาหวาน ด้วยตนเองเผยแพร่โดยแพทย์ ร.พ. ศิริราช ใช้ต้นชะพลู โดย<br />
<br />
ถอนมาทั้งราก ล้างน้ำให้สะอาด โดยใช 7 ต้น ต่อการต้ม 1 ครั้ง<br />
วิธีการ<br />
<br />
1 ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำการรักษาเบาหวาน โดยดื่มน้ำยาที่ได้จากใบชะพลูนี้ ให้ครบตามกำหนด<br />
2 ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะปฏิบัติตามขั้นตอน โดยเคร่งครัด<br />
วิธีการจัดเตรียม<br />
1 ตั้งน้ำใส่หม้อจนเดือด เอาใบชะพลู ที่เตรียมไว้ ใส่เข้าไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือด ปิดฝาหม้อ 2-3 นาที ปิดไฟ<br />
2 ดื่มน้ำใบชะพลูที่เตรียมไว้ ในวันถัดไป เริ่ม ตั้งแต่มื้อแรก โดยใช้ดื่มแทนน้ำในชีวิตประจำวันโดยเคร่งครัด ห้ามดื่มน้ำอื่น ๆ เด็ดขาด ในระหว่างการรักษา<br />
3 ก่อนเข้านอน ให้ เตรียมน้ำชะพลู ชุดใหม่ สำหรับดื่มในวันถัดไป โดยทิ้งกาก ของเดิม ทั้งหมด ห้ามใช้ซ้ำ<br />
หมายเหตุ<br />
1/หากไม่มีใบชะพลูบริเวณใกล้บ้าน ให้เตรียมล่วงหน้าโดยการ ล้าง และแช่ตู้เย็นไว้<br />
2/ควรงดการเดินทาง หรือ กิจกรรมนอกบ้านระหว่างการรักษา ด้วยยานี้<br />
3/หากจำเป็นต้องเดินทาง ให้เตรียมน้ำใบชะพลู บรรจุใส่ภาชนะไปด้วย ห้ามดื่มน้ำอื่น ๆ เด็ดขาด<br />
ระยะเวลาในการรักษา<br />
อายุ 10 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 1 วัน<br />
อายุ 20 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 2 วัน<br />
อายุ 30 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 3 วัน<br />
อายุ 40 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 4 วัน<br />
อายุ 50 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 5 วัน<br />
อายุ 60 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 6 วัน<br />
อายุ 70 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 7 วัน<br />
อายุ 80 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 8 วัน<br />
อายุ 90 ปี ให้ดื่มยานี้ เป็นเวลา 9 วัน<br />
เมื่อหายแล้ว ให้ไปทำบุญ ระลึกถึงพระคุณเจ้าของตำหรับยาผู้ใจบุญที่ล่วงลับ และผู้เผยแพร่สูตรยานี้<br />
<br />
ใครเป็นน่าลอง ไม่ยากเย็นจนเกินไปwirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-78544883439305399492011-01-02T07:49:00.000-08:002011-01-02T07:49:05.986-08:00เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายแรงและเรื้อรัง<div><div><div><b><span lang="IT" style="color: black; font-size: 9pt;">A-RO-KA</span></b><b><span lang="IT" style="font-size: 9pt;">-YA<span style="color: black;"> Pa-Ra-Ma-La-Pa </span></span></b></div></div><div><div><span lang="TH" style="font-size: 9pt;">เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายแรงและเรื้อรัง</span></div><div><span lang="TH" style="font-size: 9pt;">โดย นางศิราณี เอกัคคตาจิต </span><span style="font-size: 9pt;">38/31<span lang="TH">บ้านธรรมรัตน์ ซอยธานี</span>11 <span lang="TH">ถ.ธานี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ </span>31000</span></div><div><span lang="TH" style="font-size: 9pt;">โทร </span><span style="font-size: 9pt;">,<span lang="TH">แฟ็ก<span style="color: navy;"> </span></span> 044-615040</span> </div><div></div></div><div><span lang="TH">ครอบครัวเรามีลูก </span>4<span lang="TH" style="color: navy;"> </span><span lang="TH">คน ผู้ชายล้วน พ่อบ้านชื่อ นพ.ศิริพงษ์ เอกัคคตาจิต รับราชการทำงานที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จบแพทย์จุฬารุ่น </span>24 <span lang="TH">ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ซี </span>9 <span lang="TH">ข้าพเจ้าเป็นแม่บ้านเต็มขั้น และความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้น เช้าวันที่</span>26 <span lang="TH">พฤษภาคม พ.ศ. </span>2540 <span lang="TH">ตื่นเช้ามาดูลูกคนที่ </span>3 <span lang="TH">ชื่อศักดา เอกัคคตาจิต เขาบอกยืนได้ขาข้างเดียว เจ็บข้อเท้าและเข่ามาก เราก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก เป็นจังหวะใกล้จะเปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย เขาเรียนแพทย์ศิริราชโดยสอบเข้าโคต้า แพทย์ศิริราช และสอบแข่งขันวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ที่ </span>1 <span lang="TH">เมื่อปี พ.ศ. </span>2539 <span lang="TH">ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช </span>2<span lang="TH">อาทิตย์ หมอบอกให้ยาแก้ปวด แล้วดูอาการ ให้ใช้ไม้เท้าไปเรียนได้ </span>2<span lang="TH">อาทิตย์ ปรากฏว่าอาการกำเริบเจ็บขยายมาที่หัวไหล่ทั้ง</span>2<span lang="TH">ข้าง ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งครั้งนี้หมอตรวจอาการแล้วถามข้าพเจ้าว่ามีลูกกี่คน ตอบว่ามี </span>4<span lang="TH">คน คนโตทำงานแล้ว คนที่</span>2 <span lang="TH">เรียนแพทย์ขอนแก่น คนป่วยเป็นคนที่</span>3 <span lang="TH">รู้สึกหมอที่ถามมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเขารู้แล้วว่าโรคที่ลูกเป็นอยู่นี้เข้าข่ายปวดข้อจูวีหน่ายรูมาตอย เพราะเจ็บข้อก่อนอายุ </span>17 <span lang="TH">ปีซึ่งค่อนข้างร้ายแรง เพราะแม้สถิติการรักษาต่างประเทศก็ยากมีให้ได้ก็ยาแก้ปวดเท่านั้น เป็นมากหลายปีหน่อยก็จะพิการได้ หมอที่รักษาเขาก็บอกให้แม่ทำใจ และให้ยาแก้ปวดมากินที่บ้าน ความรู้สึกของแม่แทบล่มสลาย วันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น จุกปวดกระเพาะอาหารขนาดหนักเพราะกินยาแก้ปวด กินยาเครือบกระเพาะอาหารเต็มที่ก็ยังเจ็บท้องอยู่ นรกบนดินเป็นเช่นนี้เอง กินยาแก้ปวดข้ออย่างแรงเช้าเย็นแก้ได้ชั่วคราวต้องกินประจำแม้ปวดกระเพาะอาหารก็ต้องกิน เจาะเลือดค่าอีเอสอาร์อยู่ระหว่าง</span>50-90 <span lang="TH">มม.ต่อชม.ซึ่งค่าปกติไม่เกิน </span>20 <span lang="TH">มม.ต่อชม. กินยามากจนถึงหูอื้อแต่ก็ยังไม่ดีขึ้นช่วงนี้เขาก็ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อ </span>5-6<span lang="TH">เดือน ทำเรื่องลาเรียน </span>1<span lang="TH">ปีระยะนี้ขาเริ่มลีบเพราะเจ็บข้อเท้ามากต้องนอนกับที่ เราเป็นชาวพุทธช่วงไหนที่จิตมีสมาธิก็อธิฐานขอให้ลูกได้พบหนทางรักษาที่ถูกต้องด้วยเถิดจะได้หยุดยาแก้ปวดนี้เสียที ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะขนขวายทำแต่ความดี แล้วโชคก็มาถึง วันที่</span>7 <span lang="TH">กุมภาพันธ์ พ.ศ.</span> 2541 <span lang="TH">ดร.พรพรรณและคุณเฉซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์นิศา เชนะกุล ได้มาที่บ้านเพื่อไปกราบหลวงปู่ที่วัดเขาน้อย เขามาเห็นลูกชายป่วยเขาก็แนะนำให้ทาน</span><a href="https://ramp.rd.go.th/owa/redir.aspx?C=992f49733a2e48a597ceb854d09739a9&URL=http%3a%2f%2fhospital.moph.go.th%2fbureerum%2ffood.html" rel="nofollow" target="_blank" title="http://hospital.moph.go.th/bureerum/food.html"><span lang="TH">นมธัญญพืช และน้ำผักปั่นที่มีคุณค่าอาหาร</span></a><span lang="TH">โดยทานนมธัญญพืชก่อนอาหารวันละ</span>1<span lang="TH">แก้วและน้ำผักปั่นวันละ</span>4-5<span lang="TH">แก้วทานได้</span>20<span lang="TH">วันหมอก็ให้เจาะอีเอสอาร์ดูปรากฏว่าอีเอสอาร์ลดเหลือ</span>36<span lang="TH">มม.ต่อชม.ลูกชายก็ร้องออกมาว่าเขาคงรอดตายและหายได้จากการทานอาหารนี้ก็เริ่มมีกำลังใจรับประทานนมธัญญพืชและน้ำผักปั่นมากขึ้นกินนมธัญญพืชและน้ำผักปั่นอย่างละ</span>6-7<span lang="TH">แก้วทุกวันและแช่น้ำาร้อนสลับกับน้ำเย็นอย่างละ</span>3<span lang="TH">นาทีและเริ่มไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้อยู่กับธรรมชาติ นอนหัวค่ำ(</span>3<span lang="TH">ทุ่ม)และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด พอทานได้</span> 1<span lang="TH">เดือนก็หยุดยาทุกชนิด อีเอสอาร์ก็ลดลงเรื่อยๆ เหลือ </span>20<span lang="TH">มม.ต่อชม. ต่อมาก็เหลือ </span>12 <span lang="TH">ก็เท่ากับคนปกติ เจาะอีกครั้งหนึ่งก่อนไปเรียนวันที่</span>1<span lang="TH">มิถุนายน</span> 2541<span lang="TH">ค่าอีเอสอาร์เท่ากับ</span>1<span lang="TH">มม.ต่อชม. เม็ดเลือดแดงจาก </span>33% <span lang="TH">เป็น </span>48% <span lang="TH">เม็ดเลือดขาวจาก</span> 13500 <span lang="TH">ก็เหลือ </span>6500 <span lang="TH">พอไปเรียนได้ </span>5-6 <span lang="TH">เดือน เขาก็สามารถบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชได้ ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดแม้นเพื่อนหมอด้วยกันก็รู้สึกเหมือนปาฎิหารใครจะคาดคิดว่าจะหายจากโรคด้วยอาหาร</span></div><div><span lang="TH">ข้าพเจ้าจึงต้องการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังลองมาดื่มน้ำผักปั่น และนมธัญพืช อย่างละ</span>8-12<span lang="TH">แก้วต่อวันเพื่อไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาแก้ปวดข้อและยาป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศทำให้เสียดุลย์การค้าระหว่างประเทศ และให้นอนแต่หัวค่ำ </span>3<span lang="TH">ทุ่ม ทำจิตใจให้เบิกบาน นั่งสมาธิถ่ายอุจจาระทุกวันโดยกินอาหารที่มีกากใย ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง ได้แก่เมล็ดธัญพืช ผักสด ผลไม้สด ไข่ ขาว ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก กินแต่เนื้อ ปลาโดยนึ่งหรือต้มไม่ควรทอด เพราะจะมีไขมันมาก ไม่กินอาหารกระป๋องเพราะต้อง ผ่านขบวนการปรุงแต่ง ทำให้เสียคุณค่าอาหาร ไม่นอนอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยอย่าให้มีเครื่องทีวี</span> ,<span lang="TH">วิทยุ</span>,<span lang="TH">เครื่องคอมพิวเตอร์และตู้เย็นอยู่ในห้องนอน ออกกำลังกาย ทำกายภาพบำบัด เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ ก็อาจหายจากโรคปวดข้อเรื้อรังและไม่มีความพิการของแขนขาข้างที่ปวดข้อได้โดยปกติ</span></div><div><b><span lang="TH">สูตรน้ำผักปั่น</span></b></div><ol type="1"><li><span lang="TH">ผักกาดหอม </span>2 <span lang="TH">ใบ (กล้ามเนื้อกระดูก เส้นเอ็น และทำให้ปอดแข็งแรง) </span></li>
<li><span lang="TH">คื่นฉ่าย </span>2 <span lang="TH">ก้าน (ช่วยการหมุนเวียนโลหิตและหลอดเลือดแข็งแรง) </span></li>
<li><span lang="TH">มะเขือเทศ </span>1 <span lang="TH">ลูก (เม็ดเลือดแข็งแรง) </span></li>
<li><span lang="TH">หอมใหญ่ </span>1/4 <span lang="TH">ลูก ( หัวใจ แข็งแรง) </span></li>
<li><span lang="TH">น้ำผึ้ง </span>2-3 <span lang="TH">ช้อนโต๊ะ ( ให้พลังงานรวม) </span></li>
<li><span lang="TH">มะนาว </span>1 <span lang="TH">ลูก (ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน) </span></li>
<li><span lang="TH">แอปเปิ้ล </span>1 <span lang="TH">ลูก (ให้พลังงานสำรองม้ามสูงมาก) </span></li>
<li><span lang="TH">น้ำเปล่า </span>2-4 <span lang="TH">แก้ว </span></li>
</ol><div style="margin-left: 0.5in;"><b><span lang="TH">วิธีล้างผัก </span></b><span lang="TH">ข้อควรระวังเรื่องการล้างสารพิษตกค้าง</span></div></div><div style="margin-left: 0.5in;"><span lang="TH">น้ำส้มสายชู </span>1<span lang="TH">ช้อนโต๊ะต่อน้ำ </span>1<span lang="TH">ลิตร แช่ผัก </span>1 <span lang="TH">กก. นาน </span>45 <span lang="TH">นาที กรณีพืช ผักและผลไม้มากควรใช้อ่างใบใหญ่ และแช่พืช ผักในอ่างที่ผสมน้ำส้มสายชู แล้ว เมื่อล้างเสร็จแล้วปั่นกินได้เลยผักที่เหลือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ปั่นวันหลัง </span></div><div style="margin-left: 0.5in;"><span lang="TH">ปั่นส่วนผสมทั้งหมดแล้วต้องกินทันทีถ้าจะเก็บไว้กินต้องแช่ตู้เย็นไว้ ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน </span>1<span lang="TH">วัน </span></div><div><b><span lang="TH">สูตรนมธัญพืช</span></b></div><div>1. <span lang="TH">เม็ดบัว </span>1 <span lang="TH">ส่วน</span></div><div>2. <span lang="TH">ลูกเดือย </span>1 <span lang="TH">ส่วน</span></div><div>3. <span lang="TH">ข้าวกล้อง </span>1 <span lang="TH">ส่วน </span></div><div><b><span lang="TH">วิธีทำ </span></b><span lang="TH">แช่เม็ดบัว และลูกเดือยในน้ำร้อน </span>2 <span lang="TH">ชม. แล้วนำไปต้มจนสุกประมาณ ครึ่งชม. หุงข้าวกล้อง</span></div><div><span lang="TH">จนสุก แล้วเอามาอย่างละ</span>1 <span lang="TH">ขีดหรือ </span>100 <span lang="TH">กรัม ปั่นจนเข้ากันดีใส่น้ำสะอาดต้มสุกพออุ่นพร้อมกัน จะได้นมธัญพืชที่มีคุณค่าอาหารดื่มได้เลย แต่มันจะจืด ถ้าใส่นมไวตามิ้นคนให้เข้ากันจะได้นมธัญพืชที่หวานตามจำนวนที่ใส่ตามต้องการ ถ้าต้องการเก็บเม็ดบัวและลูกเดือยที่ต้มสุกแล้วเอาไว้ปั่นกับข้าวกล้องวันหลังให้แช่ไว้ตู้เย็นช่องแข็งจะเก็บไว้ได้นาน</span></div><div><b><span lang="TH" style="font-size: 18pt;">เอกสารอ้างอิง</span></b></div><div style="margin-left: 0.75in;"><span style="font-size: 18pt;">1.</span><span style="font-size: 7pt;"> </span><span lang="TH">ดร. รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ความรู้เบื้องต้นเรื่องสุขภาพและธรรมชาติ โดยชมรมบ้านสุขภาพสมุทรปราการและระยอง </span></div><div><span lang="TH">เอกสารเผยแพร่ ปี </span>2540<span style="color: navy;"> <span lang="TH"> </span></span><span lang="TH">โทร </span>02-3944267 </div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-64295861242819346232011-01-02T07:34:00.001-08:002011-01-02T07:44:03.471-08:00หมอรักษามะเร็ง ฟรีwirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-6566003758187188772011-01-02T07:19:00.001-08:002011-01-02T07:19:42.508-08:00วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ<div dir="ltr"><span style="color: blue;">ในเร็ว ๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้ นายแพทย์แนะนำบ่อย ๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุก ๆ วัน<br />
<br />
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผล ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก. เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียวจะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อย ๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ ทุกเช้าควรปฏิบัติดี่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัยในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดี่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ ส่งไปให้เพี่อนฝูง <br />
<br />
เพี่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ไห้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลองดู วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้นซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ดูดธาตุต่าง ๆ จากอาหารต่าง ๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิตคนบางส่วน เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจาง มีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของผู้ใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่าง ๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่าง ๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน<br />
<br />
มหาวิทยาลัยของมณฑลต่าง ๆ ในประเทศจีน ได้ผ่านการทดลอง ได้ประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรค สามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาทความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็นปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยี่อสมองอักเสบโรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โมงล่อ (ดากหลุด) โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่าง ๆ ตาออกเลือดสตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่าง ๆต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มน้ำมาแล้ว<br />
<br />
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20 ปี กระเพาะอาหารเป็นแผล เน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดี่มน้ำสุกอย่างนี้ ตี่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่ บ้วน ดี่มน้ำสุก 5 แก้วทุก ๆวัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นาย แพทย์สั่งเสร็จไม่ให้ยาก็กลับไป วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมง ปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้ว ๆ มา วันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มาก ต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฎิบัติดื่มน้ำมา ยังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น<br />
<br />
2. เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมอง ที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้ สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทง แบบหมอจีนเวลานี้หายไปเองหมดแล้ว<br />
<br />
3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิต โลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่าง ๆ จะต้องมาจากอาหาร อย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมาก กลายเป็นของเหลวลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่าง ๆ เสร็จ ส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักเป็นของที่ไม่ มีประโยชน์สำหรับร่างกาย<br />
<br />
4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อย ๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือนเห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้น เป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็ หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต<br />
<br />
ผู้ที่ดี่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีกก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ลผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้กำลังสัก 20 นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มาก ๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด<br />
<br />
ดี่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติด ๆ กัน แต่ต่อไป 3-4 วัน การถ่ายท้องจะ เป็นปกติภายใน 7-8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแต่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับ ประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่ หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ นี้<br />
<br />
ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่าง ๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่ม เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไป เพื่อเป็นการกุศล หลวงพ่อสารี่ วัดโคกเนียนตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จ้งหวัดพัทลุง </span></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-13875191102832243612011-01-02T07:17:00.000-08:002011-01-02T07:17:54.809-08:00ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpwoGy0vWesMciyYxy9AeGnwSApVlkuBeWrSm7zrNtQVTU8wj0dkLiO0qwoivu8kX__PBJ7IOycaec9ldpbi3EPanZcD-tsfE0JRFNMNF4qfUP8KMHOFWurnYQSOpjeJ6XsxCDlv16S1g/s1600/image001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="255" n4="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpwoGy0vWesMciyYxy9AeGnwSApVlkuBeWrSm7zrNtQVTU8wj0dkLiO0qwoivu8kX__PBJ7IOycaec9ldpbi3EPanZcD-tsfE0JRFNMNF4qfUP8KMHOFWurnYQSOpjeJ6XsxCDlv16S1g/s320/image001.jpg" width="320" /></a></div>ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก<br />
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก<br />
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน<br />
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร<br />
มาเรียนที่อเมริกา<br />
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส<br />
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด แม้กระทั้งล้างจาน<br />
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู<br />
ว่าสะอาดจริงมั้ย<br />
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย<br />
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย<br />
ต้องให้ดีที่สุด<br />
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน<br />
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ<br />
แกเสนอแผนที่สอง<br />
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม<br />
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน<br />
มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ<br />
มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง<br />
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย วันหนึ่งแกไปพัก<br />
<br />
ที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป<br />
ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง<br />
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด<br />
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้<br />
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล<br />
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก<br />
ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว<br />
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่<br />
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก<br />
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า<br />
พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ<br />
ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ '<br />
<br />
เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น<br />
พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนบ้านที่เป็นของตัวเอง นี้คือปริญญาวิชาชีพ<br />
ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ<br />
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง<br />
<br />
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้<br />
แกบอกว่า ผมสอบตกโดยสิ้นเชิง<br />
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ<br />
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร<br />
เพราะทำงานจนป่วยตาย<br />
ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง<br />
บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา<br />
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง<br />
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา<br />
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้<br />
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย<br />
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย<br />
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต<br />
ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ<br />
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง<br />
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี<br />
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว<br />
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ<br />
แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง<br />
ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเรา เอ๊ะ มันทุกข์<br />
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า<br />
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า<br />
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ<br />
เพื่อที่ว่าอะไร<br />
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต<br />
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ<br />
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง<br />
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่<br />
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง<br />
คือวิชาธรรมะ<br />
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง<br />
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป<br />
ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข<br />
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก<br />
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ<br />
ลูกหลานมาหา ก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง<br />
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด<br />
และมารู้สึกตัวอีกที ก็ล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร<br />
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา<br />
เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า<br />
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน<br />
บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง<br />
บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์<br />
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต<br />
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย<br />
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ<br />
และก็ชีวิตของเราwirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8403525641365403486.post-72620859257150057852010-10-02T07:07:00.000-07:002010-10-02T07:07:28.504-07:00<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGYNRY0IKpS-2o8HTlA6KHHjXPJ-nnsdWdPw_GJq1m5o0AZk5fHwHR1UJ75n19j2s-ZoQhTcqeo3WN5uLpggIyWgUv6jsW2vI2RRaCYhoHoW5p1Q9kH5skGdgzauk_9dlQnfoe3XXLAsQ/s1600/CCF25092553_00012.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgGYNRY0IKpS-2o8HTlA6KHHjXPJ-nnsdWdPw_GJq1m5o0AZk5fHwHR1UJ75n19j2s-ZoQhTcqeo3WN5uLpggIyWgUv6jsW2vI2RRaCYhoHoW5p1Q9kH5skGdgzauk_9dlQnfoe3XXLAsQ/s640/CCF25092553_00012.jpg" width="454" /></a> </div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7p0XaAWMNY2Mwc_oYr7OI1bcGO3f8i0gcjZKRbf3uAL_3-k3YRngfSuE7wVAWXdYTC2ps049H0wWzQHKdhbWuTzOz-FsLv6KwbvyXCo88vT2ENK_BGCFZhzkia_BTOoghSLfGAccR73g/s1600/CCF25092553_00007.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi7p0XaAWMNY2Mwc_oYr7OI1bcGO3f8i0gcjZKRbf3uAL_3-k3YRngfSuE7wVAWXdYTC2ps049H0wWzQHKdhbWuTzOz-FsLv6KwbvyXCo88vT2ENK_BGCFZhzkia_BTOoghSLfGAccR73g/s640/CCF25092553_00007.jpg" width="457" /></a></div><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlXl3gWfJ-99Dg0HdhMljV_Id6N0CG9aw2KZeL1lPyfRowfSI47VBRuHFEAV_1H7-VOF23quQQgBdch68HAYV1ZZhbP1rLeRUmJjMJAypihEB2DJzF-qhpJ-OcTNl2HCRCMO4Xn-Zxoig/s1600/CCF25092553_00008.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlXl3gWfJ-99Dg0HdhMljV_Id6N0CG9aw2KZeL1lPyfRowfSI47VBRuHFEAV_1H7-VOF23quQQgBdch68HAYV1ZZhbP1rLeRUmJjMJAypihEB2DJzF-qhpJ-OcTNl2HCRCMO4Xn-Zxoig/s640/CCF25092553_00008.jpg" width="457" /></a></div><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9X7humVuhhrR8hoeQI7JxVYpdDjsxljK91LNalz91V-hze3j50BRVUyyZqf8gjS3nfL8RyZbhb2BphLyUtrKit82LooCOL8Vai7LO-AVl15zF7VrwW73dXwkvjPOJzCayt9ONyu30gy0/s1600/CCF25092553_00010.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9X7humVuhhrR8hoeQI7JxVYpdDjsxljK91LNalz91V-hze3j50BRVUyyZqf8gjS3nfL8RyZbhb2BphLyUtrKit82LooCOL8Vai7LO-AVl15zF7VrwW73dXwkvjPOJzCayt9ONyu30gy0/s640/CCF25092553_00010.jpg" width="457" /></a></div><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi46Y2SGrlzfYM0YVY-v7iOIPDHDOsXFFwGqZYTu6TG2Du7fO50_Wvz0amCjQh8vp-ZpvSF7DDJi63DNbB_8KoxCOMKo0D2jzKew9DxC6pmxxmI8uZqxcJvCQc8isQadvj9S3wWZu4TMrk/s1600/CCF25092553_00009.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi46Y2SGrlzfYM0YVY-v7iOIPDHDOsXFFwGqZYTu6TG2Du7fO50_Wvz0amCjQh8vp-ZpvSF7DDJi63DNbB_8KoxCOMKo0D2jzKew9DxC6pmxxmI8uZqxcJvCQc8isQadvj9S3wWZu4TMrk/s640/CCF25092553_00009.jpg" width="457" /></a></div><div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwWou8T4T3cEY-uc32kJmcnGAfEBJ0t19tgvhAt51i_1k-osGB6vcQJm4WDMCp0gYkyO0nV7Lk4WF9kmyqyXhBf3DqerTVBE27YXSeJnnhwlbf37GpW1aZGr1v6JvnEuzvXh5NTRSKGP8/s1600/CCF25092553_00011.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" px="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwWou8T4T3cEY-uc32kJmcnGAfEBJ0t19tgvhAt51i_1k-osGB6vcQJm4WDMCp0gYkyO0nV7Lk4WF9kmyqyXhBf3DqerTVBE27YXSeJnnhwlbf37GpW1aZGr1v6JvnEuzvXh5NTRSKGP8/s640/CCF25092553_00011.jpg" width="457" /></a></div>wirakornhttp://www.blogger.com/profile/09401194092412044933noreply@blogger.com0